ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมาแม้ภาพรวมตลาดมือถือจะไม่ค่อยคึกคักเท่าใดนัก เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองอันเป็นต้นเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ประกอบกับสำนักวิจัยอย่างไอดีซีเอง ก็ออกมาคาดการณ์ว่ายอดขายมือถือในปีนี้จะเติบโตเพียงแค่ 2% เท่านั้น ซึ่งดูเหมือนทั้งตลาดจะไม่ค่อยมีอะไรที่น่าสนใจ แต่หากสังเกตให้ดีแล้วในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อการเมืองเริ่มนิ่งและสถานการณ์ภายในประเทศเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี แบรนด์มือถือค่ายใหม่ๆ กลับเลือกมาเปิดตัวกันอย่างคึกคัก
ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์จากจีน ฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่งแบรนด์ที่เคยหายหน้าหายตาไปแล้วก็ยังกลับมาช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดกันใหม่ และในการเข้ามาของแบรนด์จีนในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเช่นในอดีตที่มีการจ้างผลิตแล้วนำมาเจาะตลาด แต่เป็นแบรนด์มือถือชั้นนำเข้ามาทำตลาดด้วยตัวเอง เน้นเจาะตลาดระดับกลางมากขึ้น จากเดิมโทรศัพท์ที่ถูกประทับตราว่าของจีน จะต้องเจาะตลาดล่างเท่านั้น
การแข่งขันยิ่งเพิ่มความดุเดือดมากขึ้น เมื่อแบรนด์ใหญ่ชื่อดังได้หันมาใช้กลยุทธ์ที่แยบยลทางด้านราคา ที่แม้จะดูเหมือนว่าไม่ได้ลดราคามากนัก แต่การซื้อ 1 แถม 1 ก็ ไม่ต่างอะไรกับการสู้ด้วยราคาเช่นกัน นอกจากนี้บางรายก็ยังคงราคาเดิมแต่ก็เติมออปชันให้อย่างมากมาย จนเรียกได้ว่าลูกค้าซื้อไปก็ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มในการหาแอสเซสเซอรี่มาใส่เองอีกต่อไป คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
แต่ที่น่าจับตามองเห็นจะเป็นแบรนด์เดิมที่ดูเสมือนว่าตายจากตลาดไปแล้วอย่าง เบนคิว ก็กลับเข้ามาเป็นผู้เล่นรายใหม่อีกครั้ง หลังทิ้งตลาดมือถือในเมืองไทยไป 7 ปี แบบไม่มีข่าวคราวใดๆ ให้ได้เห็นกันเลย แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ 2 รุ่น และแท็บเล็ต 1 รุ่นเข้าสู่ตลาดในเมืองไทย ซึ่งการกลับมาครั้งนี้แน่นอนว่าต้องมาพร้อมกลยุทธ์ที่โดดเด่น และมีผลิตภัณฑ์ที่โดนใจจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงจะอยู่ยากแน่ๆ
*** เบนคิวหายหน้าหายตาไป 7 ปี วันนี้กลับมาแล้ว
พัทธกร พรศิริธิเวช ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย บริษัท เบนคิว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การกลับมาของเบนคิวในตลาดมือถือครั้งนี้ ไม่ได้มาเหมือนแบรนด์อื่นที่ไม่เคยมีชื่ออยู่ในตลาดเมืองไทยมาก่อน แต่สำหรับเบนคิวแล้วที่ผ่านมาได้มีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ออกมานำเสนอสู่สายตาผู้บริโภคอยู่เสมอ ดังนั้นจึงมีความน่าเชื่อถือของแบรนด์มากกว่า ประกอบกับก่อนหน้าที่จะทำการเปิดตัวได้อาศัยช่องทางออนไลน์ในการแนะนำมือถือ รุ่นดังกล่าวเป็นเวลามาพอสมควร จนปัจจุบันสามารถสร้างการรับรู้ของแบรนด์ได้ประมาณ 30-40% แล้ว
“การกลับมาทำตลาดมือถือในตลาดไทยครั้งนี้ เบนคิวมองเรื่องของความพร้อมในตัวผลิตภัณฑ์ของตัวเองเป็นหลัก ก่อนที่จะพิจารณาความพร้อมในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายมือถือของไทยที่เริ่มมีการใช้งานเครือข่าย 3G กันมากขึ้น และมี 4G บ้างแล้วในบางพื้นที่ รวมไปถึงการเมืองเริ่มมีเสถียรภาพ โครงการต่างๆ เริ่มมีการลงทุน และเริ่มเห็นเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจึงมุ่งที่จะกลับมาทำตลาดอย่างจริงจัง พร้อมกับการเปิดตัวโทรศัพท์ใหม่ 2 รุ่น และแท็บเล็ต 1 รุ่นในปีนี้ ก่อนจะเปิดตัวอีก 15 รุ่นในปีหน้า”
โดยได้ตั้งเป้าหมายในปีนี้ไว้ก่อนที่ 12,000 เครื่อง ส่วนปีหน้าตั้งยอดขายรวมไว้ที่ 250,000 เครื่อง ซึ่งเป้าหมายระดับนี้ก็มาพร้อมกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ใช้งบประมาณไปกว่า 1 ล้านบาท ในการเชิญดีลเลอร์ พาร์ทเนอร์และสื่อมวลชนมาสัมผัสกับความอลังการของการเปิดตัวในครั้งนี้ ที่จะยืนยันได้ว่าไม่ได้มาแล้วหายไป แต่ต้องการอยู่แบบยาวนานและถาวร
ยังไม่นับรวมงบการตลาดที่จะเทอีก 10 ล้านบาท เพื่อปูพรมให้สมาร์ทโฟนแบรนด์เบนคิว ติดตลาดอย่างรวดเร็ว ส่วนเป้าหมายที่สำคัญต่อไปอยู่ที่จะผลักดันให้ตัวเองก้าวขึ้นสู่เบอร์ 1 ในสมาร์ทโฟน 4G ซึ่งมือถือของเบนคิวแต่ละตระกูลจะใช้การสื่อสารที่แตกต่างกัน โดยตระกูล F จะเน้นสไตล์ บางเบา เทรนด์ใหม่ๆ ตระกูล T ไฮเอนด์ราคาไม่แพง ตระกูล B จะเจาะกลุ่มกลางล่าง และตระกูล Q เป็นเรือธงในการทำตลาด เน้นเทคโนโลยี โดยราคาต่ำสุดจะเริ่มที่เริ่มที่ 2,500-2,900 บาท เพื่อเป็นการรักษาแบรนด์อิมเมจ
*** มั่นใจสินค้าดี ส่วนการตลาดส่งให้ดีลเลอร์ช่วยเหลือ
พัทธกร กล่าวว่า สำหรับการสร้างความมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์นั้น ที่ผ่านมาเบนคิวได้เป็นผู้รับจ้างผลิตโทรศัพท์มือถือให้กับแบรนด์ต่างๆ เกือบ 80% ของตลาด มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่ามีความเชี่ยวชาญและผลิตภัณฑ์ต้องมีคุณภาพอย่างแน่นอน ที่ผ่านมาเบนคิวเน้นการผลิตให้กับแบรนด์อื่นมากกว่า แต่หลังจากมีแบรนด์เป็นของตัวเองแล้วจะหันมาให้ความสำคัญกับแบรนด์ตัวเองมากขึ้น
ส่วนทางด้านความมั่นใจต่อผู้บริโภคนั้น เบนคิวจะใช้ตัวช่วยที่จะสร้างความเชื่อมั่นได้อีกทาง อย่างอินแกรมไมโคร และดีลเลอร์ที่จะช่วยกระจายสินค้าส่งถึงมือผู้บริโภคให้มากขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นจะมุ่งเน้นการสร้างความมั่นใจให้ดีลเลอร์มีความเชื่อใจในเบนคิว หลังจากนั้นจะให้พาร์ทเนอร์เป็นผู้ผลักดันด้านการตลาด ไม่ว่าจะเป็นช่องทางต่างๆ อย่างร้านค้าโทรศัพท์มือถือ ร้านค้าสินค้าไอที เป็นต้น
“การที่ช่องทางต่างๆ อ้าแขนรับเท่ากับเป็นการยืนยันว่าแบรนด์เราดี”
นอกจากนี้จะอาศัยความเชื่อมั่นของผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้แบรนด์เบนคิวที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในมือถือได้อีกทางหนึ่ง ว่าจะทำตลาดอย่างจริงจัง ไม่ใช่แบรนด์หน้าใหม่ที่จะมาแล้วหายไป เพราะเบนคิวยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายอย่างที่อยู่ในตลาด โดยปัจจุบันเบนคิวมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น โปรเจ็กเตอร์ 35% แอลซีดี 35% โทรศัพท์ 20% และอื่นๆ 10% ซึ่งปีหน้าคาดว่ามือถือจะมีสัดส่วนเป็นครึ่งหนึ่งหรือ 50%
*** ส่งทีมงานขายให้ความรู้ เปลี่ยนเครื่องทันทีไม่ต้องซ่อม
นอกจากนี้จะมีการส่งสมาร์ทโฟนรุ่นที่เหมาะสมเข้าไปร่วมมือกับโอเปอเรเตอร์ ในการทำตลาดร่วมกัน โดยคาดว่าจะจบการเจรจาและเริ่มทำตลาดร่วมกันได้ในปลายปีนี้ โดยจะเน้นราคากลางๆ สเปคดี ซึ่งแม้ว่าโอเปอเรเตอร์จะมีมือถือแบรนด์ตัวเองออกมานำเสนอก็ตาม แต่ไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่ง โดยมองเป็นพาร์ทเนอร์ที่จะทำตลาดรวมกันมากกว่า นับจากนี้จะนำเสนอผ่านสื่อออนไลน์อย่างต่อเนื่อง และเตรียมที่จะขยายไปยังช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพิ่มขึ้น ถือเป็นการสร้างความมั่นใจ
กลยุทธ์การทำตลาดที่นอกเหนือไปจากสเปคที่โดดเด่นกว่าในราคาไม่แพงแล้ว ยังมุ่งเน้นการใช้ทีมงานขายเพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจ ที่จะมีประมาณ 50คนจะทำหน้าที่ สื่อสารแบรนด์ไปสู่ลูกค้า โดยจะโฟกัสที่หัวเมืองใหญ่ก่อน
“เช่นเดียวกับทางด้านบริการหลังการขาย เราจะเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ทันที ถ้าซ่อมไม่ได้ ลูกค้าสามารถส่งไปที่ดีลเลอร์ ดิสทริบิวเตอร์ได้ทันทีเมื่อเครื่องมีปัญหา โดยได้เตรียมเครื่องสำรองไว้ 3% ของยอดผลิต ซึ่งจะถือเป็นการสร้างความมั่นใจได้อีกทางหนึ่ง นับจากนี้ผู้บริโภคจะได้เห็นมือถือของเบนคิวออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง”
*** เจโฟน กลับมาชิงตลาดล่าง เล็งเจาะคนดูทีวีดิจิตอล
ด้านนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การกลับมาของแบรนด์เจโฟนเมื่อประมาณปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา เนื่องจากคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เจมาร์ทจะกลับมาเจาะตลาดล่างในระดับราคาต่ำกว่า 3,000 บาท ที่ยังมีความต้องการใช้งานสมาร์ทโฟนในราคาสมเหตุสมผลและมีฟีเจอร์ที่พอสมควร โดยเจมาร์ทมั่นใจว่าการเปลี่ยนโรงงานผลิตให้ที่มีคุณภาพมากขึ้น จะทำให้ผู้ใช้งานมีความมั่นใจในตัวสินค้ามากขึ้น
ปัจจุบันมือถือแบรนด์จีนเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยมากขึ้น และมีทิศทางการยอมรับของผู้บริโภคที่ดีมากขึ้น มีทัศนคติที่ดี ดังนั้นจะเป็นส่วนดีที่จะทำให้เจโฟนได้รับการยอมรับมากขึ้น นอกจากนี้ด้วยช่องทางการขายของเจมาร์ทที่หลากหลายและการรับประกันเปลี่ยนเครื่องใหม่ใน 14 วันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์ นอกเหนือไปจากการใส่ฟีเจอร์ที่ครบครันในราคาที่ตัดสินใจได้ไม่ยาก
“เราจะมีแคมเปญแจกทองเพื่อสร้างการรับรู้ในแบรนด์ ในปีหน้ามือถือของเจโฟนจะหันไปจับกลุ่มตลาดผู้รับชมทีวีดิจิตอลด้วยการผลิตมือถือที่รองรับ เพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้น จากปัจจุบันราคามือถือแบรนด์เจโฟนมีระดับราคาอยู่ที่ 1,890 - 3,000 บาท”
ถือว่าตอนนี้เป็นโอกาสทองของตลาดมือถือก็ว่าได้ !!!
CyberBiz Social