xs
xsm
sm
md
lg

กันยาวิปโยคของ “Apple”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แม้จะย่างเข้าสู่เดือนตุลาคมกันแล้ว แต่ถ้าถามสาวกแบรนด์แอปเปิล ทีมงาน Apple Inc. รวมถึงซีอีโออย่าง “ทิม คุก” (Tim Cook) คงไม่มีใครลืมความระทึกใจที่เกิดขึ้นตลอดเดือน ก.ย.2557 ได้ลงเป็นแน่ ทั้งจากความยิ่งใหญ่ของการเปิดตัว iPhone 6 และ iPhone 6 Plus (รวมถึงนาฬิกา Apple Watch) ในวันที่ 9 ก.ย.ที่ได้รับการยกย่องจากสื่อต่างๆ มากมายชนิดข้ามสัปดาห์ หรือจะเป็นยอดพรีออเดอร์ iPhone 6 ที่มีมากกว่า 4 ล้านเครื่องภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังการเปิดตัว (สูงกว่ายอดพรีออเดอร์ของ iPhone 5 ที่มีเพียง 2ล้านเครื่องในระยะเวลาเท่ากัน)

จากยอดพรีออเดอร์ดังกล่าว นำไปสู่การคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ว่า iPhone 6จะสามารถสร้างยอดขายได้สูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งก็เป็นจริงเมื่อยอดขาย iPhone 6 ใน 10 ประเทศแรกทะลุ 10ล้านเครื่องไปอย่างสวยงามภายในการวางจำหน่ายช่วงสุดสัปดาห์แรก ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงปลายเดือนทีมงานยังได้ยิ้มกว้างๆ อีกครั้งกับยอดพรีออเดอร์ในจีนที่สูงถึง 2 ล้านเครื่อง ภายใน 6 ชั่วโมง ก่อนวางจำหน่ายจริงในวันที่ 17 ต.ค.2557 นี้

*** หุ้นสะท้อนแบรนด์

สำหรับแวดวงนักลงทุนคงต้องยอมรับว่า ยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิลมีอิทธิพลอย่างมากโดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังซบเซา จากการเปิดตัว iPhone และแอปเปิล วอทช์ ในวันที่ 9 ก.ย. ได้มีส่วนทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับสู่แดนบวกอีกครั้ง รวมถึงหุ้นของแอปเปิลเองด้วยที่ค่อยๆ ปรับตัวขึ้น และจบวันที่ 10 ก.ย. ด้วยการปิดบวกมากกว่า 3%

อย่างไรก็ดี แดดแจ้งในวันฟ้าใส กลับนำมาซึ่งเมฆฝนก้อนใหญ่ตามหลังเพราะทันทีที่ชื่อของบริการ Apply Pay ผุดขึ้นมาจากงานแถลงข่าว แอปเปิลก็ถูกตั้งคำถามถึงความปลอดภัยในการใช้งานที่ฝากไว้กับระบบ Touch ID ที่ถูกแฮกง่าย เนื่องจากบริการธุรกรรมทางการเงิน Apple Pay จะผูกข้อมูลเครดิตของผู้ใช้เข้ากับตัวไอโฟน

ตามมาด้วยการร้องเรียนของผู้ใช้ที่พบว่า iPhone 6 Plus เกิดบิดงอขึ้นมา เพียงเพราะใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง แม้แอปเปิลจะออกมาแถลงว่ากรณีดังกล่าวพบไม่ได้บ่อยนัก และมีผู้ร้องเรียนเพียง 9 รายเท่านั้น แต่ในโลกออนไลน์เรื่องนี้กลับกลายเป็นกระแสดัง และพบว่ามีสื่อหลายสำนัก รวมถึงบรรดาบล็อกเกอร์นำ iPhone มาบิดเล่นกันมันมือ จนล่าสุด มีวัยรุ่นทั้งจากสหรัฐอเมริกา และอังกฤษลอบเข้าไปบิด iPhone 6ในร้านแอปเปิลสโตร์ (Apple Store) พร้อมกับถ่ายคลิปเอาไว้ก่อนนำมาโพสต์ลงยูทิวบ์สร้างกระแสอีกรอบซึ่งในเบื้องต้น แอปเปิลยังไม่มีการประกาศมาตรการป้องกันการทดลองบิดงอ iPhone 6 ที่ร้านอย่างเป็นทางการออกมาแต่อย่างใด

ไม่เพียงเท่านั้น ระบบปฏิบัติการ iOS 8 ที่แอปเปิลคาดว่าจะเป็นทีเด็ด ก็กลับแป้กไม่เป็นท่า เมื่อผู้ใช้หลายคนรายงานว่า ระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ของแอปเปิลทำให้หลายแอปพลิเคชันมีปัญหาในการใช้งาน (จากการสำรวจพบว่า จำนวนการร้องเรียนแอปพลิเคชันมีปัญหาเพราะ iOS 8 คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 3.3% ถือว่ามีจำนวนมากกว่าการร้องเรียนที่เคยเกิดขึ้นกับ iOS 7) นอกจากนั้น ยังพบว่า iOS 8 ทำไอโฟนรุ่นเก่าช้าลง และบริโภคแบตเตอรี่เร็วกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัดแถมยังต้องการพื้นที่ว่างในเครื่องสูงมากถึง 4.7 GB รวมถึงปัญหาการเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟขัดข้อง และแบตเตอรี่หมดเร็วมากขึ้นด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น ข้อผิดพลาดใน iOS 8.0.1 ยังทำให้ระบบยืนยันตัวบุคคลด้วยลายนิ้วมือ Touch ID บน iPhone ตัวใหม่ไม่สามารถใช้งานได้ จุดนี้แอปเปิลประเมินว่าผู้ใช้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่ได้รับผลกระทบจะมีจำนวนไม่เกิน 40,000 คน โดยคนกลุ่มนี้ดาวน์โหลด iOS 8.0.1 ไปใช้งานในช่วงก่อนหน้าที่แอปเปิลจะปิดบริการ และรีบถอดอัปเดตดังกล่าวออกจากเว็บอย่างรวดเร็ว และออกอัปเดต iOS 8.0.2 ในอีกไม่กี่วันต่อมา แน่นอนถึงแอปเปิลได้แก้ปัญหาเรื่อง Touch ID จนหมดแต่เรื่องแอปพลิเคชันมีปัญหากับระบบปฏิบัติการยังไม่ถูกแก้ไขมากที่ควร

ทั้งนี้ แอปเปิลเปิดให้ผู้ใช้ดาวน์โหลด iOS 8.0.1 ในช่วงวันพุธที่ 24 ก.ย. (ตามเวลาในสหรัฐฯ) แต่หลังจากช่วง 60 นาทีแรก แอปเปิลตัดสินใจลบ iOS 8.0.1 ออกจากเว็บไซต์นักพัฒนา หรือ Developer Center และงดให้บริการแก่ผู้ใช้ทุกคนผ่านระบบ over-the-air ที่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้จากเครื่อง iPhone กระทั่งวันพฤหัสบดีที่ 25ก.ย. แอปเปิลจึงให้บริการ iOS 8.0.2 ที่อ้างว่าสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้แล้ว

*** iOS กระทบค่ายรถ

ความผิดพลาดของ iOS 8 ยังไม่จบแค่นั้น สำหรับผู้ที่ใช้บลูทูธในการเชื่อมต่อไอโฟนเข้ากับระบบควบคุมเครื่องเสียงในรถยนต์ก็เจอปัญหาเช่นกัน โดยผู้ใช้รถยนต์ยี่ห้อดัง เช่น โตโยต้า, นิสสัน, Chevy, Volkswagen, Audi, BMW, Mercedes, ฮุนได, เลกซัส, ซูบารุ, ฮอนด้า, ฟอร์ด ฯลฯ ต่างใช้พื้นที่ในโลกออนไลน์ระบายถึงปัญหาดังกล่าวกันถ้วนหน้า โดยปัญหาจากการอัปเดต iOS 8.0.1 ก็คือ ไม่สามารถเล่นเพลง หรือเปิดไฟล์เสียงต่างๆ ได้ ขณะที่บางรายพบว่าตนเองไม่สามารถรับสายโทร.เข้าได้ผ่านระบบแฮนด์ฟรี และในบางรายถึงแม้จะอัปเดตเป็น 8.0.2 แล้ว
แต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่หายไปอีกด้วย

มรสุมลูกนี้ได้ฉุดตลาดหุ้นสหรัฐฯ ของวันที่ 25 ก.ย.ลงสู่แดนลบในช่วงท้ายของการซื้อขาย โดยหุ้นของแอปเปิลร่วงลงถึง 3% ปิดที่ 98.69 เหรียญสหรัฐ ลากดัชนีเอสแอนด์พี 500 และแนสแดคสู่แดนลบไปตามๆ กัน

***พฤติกรรม “มือถือสาก” ลากแบรนด์พัง?

นอกเหนือจากความผิดพลาดในด้านซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ที่กระทบต่อความนิยมของบริษัทแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวสร้างความนิยมในสินค้าแอปเปิลนั่นก็คือ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งการจะเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของโลก การมีภาพลักษณ์ที่ดูดีตั้งแต่หัวจดเท้าย่อมสามารถซื้อใจลูกค้าได้เป็นจำนวนมาก

ดังนั้น ทันทีที่ข่าวการเสียชีวิตของ 5 แรงงานชาวจีนที่เข้าไปทำงานในโรงงาน Foxconn ผู้รับผลิต iPhone 6 ด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวปรากฏขึ้น โดยที่แรงงานทั้ง 5 รายนั้นล้วนเป็นคนหนุ่มแข็งแรงในวัยทำงาน อายุระหว่าง 19-24 ปี และเพิ่งเข้ามาทำงานในโรงงานดังกล่าวได้เพียง 4 เดือน โดยที่ญาติผู้เสียชีวิตสงสัยว่า สารเคมีทำความสะอาดอาจเป็นตัวการคร่าชีวิตจึงไม่เป็นผลดีนักต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่แอปเปิลสั่งสมเอาไว้มาเป็นเวลานาน

โดยโรงงานเจ้าปัญหาแห่งนี้ตั้งอยู่ในเสินเจิ้น และสามารถผลิต iPhone ได้ราว 2 ล้านเครื่องต่อสัปดาห์ ด้วยกำลังคนงานจีน 230,000 คน จากการสอบสวนพบว่า คนงานทั้ง 5 คนนั้นทำงานในส่วนสายการผลิตโดยทางครอบครัวเผยว่า สภาพแวดล้อมในโรงงานมีการให้สวมถุงมือแบบใช้แล้วทิ้ง และสวมหน้ากากกันสารเคมีทุกวัน แต่คนงานไม่เคยรับรู้ถึงอันตรายที่พวกเขา หรือเธออาจจะได้รับจากการทำงานที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีอันตรายโดยตรงเหล่านั้น และยังไม่เคยได้รับคำอธิบายให้รับทราบถึงชื่อ และประเภทของสารเคมีอีกด้วย

เรื่องน่าสลดใจก็คือ หนึ่งในคนงานถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินหลังมีเลือดทะลักออกทางจมูกในเดือนมิถุนายน 2011 และได้รับการวินิจฉัยว่า ป่วยด้วยโรคลูคีเมียก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา ด้วยอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น ปัจจุบันพ่อแม่วัย 50 ปี ของผู้เสียชีวิตต้องทำงานกวาดถนนในเมืองเสิ่นเจิ้น เพื่อจ่ายหนี้ค่ารักษาของลูกชายร่วม 80,000 ปอนด์

ด้าน แจ็กกี เฮย์น (Jacky Haynes) ผู้อำนวยการอาวุโสด้านซัปพลายเออร์ของแอปเปิลได้ออกมาแถลงถึงปัญหาดังกล่าวว่า “ทางแอปเปิลต้องการตรวจสอบเรื่องพบคนงานป่วยด้วยโรคลูคีเมียอย่างจริงจัง และทางบริษัทจะร่วมมือกับ Foxconn เพื่อสืบหาความจริงเรื่องนี้ให้กระจ่างต่อไป”

โดยก่อนหน้านี้ แอปเปิลได้ประกาศยกเลิกการใช้สารเคมี 2 ชนิด ในสายการผลิตของบริษัท และในการตรวจสอบมาตรฐานของโรงงานฐานการผลิต 22 แห่ง ก็ไม่พบว่าพนักงานราว 500,000 คนที่ทำงานอยู่ได้รับผลกระทบจากการใช้สารเคมีในการผลิตแต่อย่างใด

หรือข่าวการเลี่ยงภาษีในระดับนานาชาติที่มีแนวโน้มว่าแอปเปิลจะเป็นหนึ่งในบริษัทที่กระทำการดังกล่าว ทั้งในออสเตรเลีย รวมถึงในสหภาพยุโรป ที่รวมกันแล้วอาจมีมูลค่าสูงกว่าที่ใครหลายคนจะจินตนาการได้ ซึ่งนี่อาจสะท้อนภาพเบื้องหลังการบริหารจัดการ “การเงิน” ของบริษัทที่อาจกล่าวได้ว่าตรงข้ามกับภาพลักษณ์ของแอปเปิลที่พยายามสร้างขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง

แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลกำไรคือสิ่งที่ผู้ถือหุ้นทุกคนปรารถนา แต่การได้มาซึ่งผลกำไรด้วยแนวทางที่ซับซ้อน หรือไม่ได้มาจากรูปแบบการดำเนินกิจการ และการเสียภาษีที่ควรจะเป็นที่ว่าทำกำไรในประเทศไหนก็น่าจะมีหน้าที่เสียภาษีให้ประเทศนั้น นี่ต่างหากที่เป็นภาพขัดแย้งกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่แอปเปิลพยายามสร้างมา

โดยกรณีของแอปเปิลนั้น ได้มีการตั้งบริษัทขึ้นในประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งให้ภาษีในอัตราพิเศษแก่แอปเปิล ส่งผลให้แอปเปิลมียอดภาษีที่ต้องจ่ายให้ไอร์แลนด์เพียง 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกานั้นกลับได้ภาษีจากแอปเปิลเพียง 6.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งๆ ที่ยอดที่แท้จริงอาจสูงถึง 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ หากการเสียภาษีนั้นคิดด้วยฐานภาษีของสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ดี หลังจากที่มีความพยายามเลี่ยงภาษีเกิดขึ้นในระดับนานาชาติจากบรรดาบริษัทหัวใส ที่มักเลี่ยงการจ่ายภาษีแก่รัฐบาลท้องถิ่น และถ่ายโอนผลกำไรไปยังประเทศที่คิดอัตราภาษีต่ำที่สุดนั้น ทางประเทศในกลุ่มจี 20 ได้หาแนวทางป้องกันปัญหาแล้ว โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอัตโนมัติระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อใช้ตรวจสอบบริษัทที่เข้าข่ายมีพฤติกรรมดังกล่าวอย่างเข้มข้น ซึ่งในอนาคตเราอาจได้เห็นราคาหุ้นของบริษัทในอุตสาหกรรมไฮเทค สะท้อนภาพการดำเนินธุรกิจที่เป็นจริงมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้

ส่วนในเดือน ต.ค. ทางแอปเปิลก็อาจไม่มีเวลาว่างสำหรับพักเหนื่อย เพราะในเดือนนี้การเปิดตัวไอแพด (iPad) ก็กำลังใกล้เข้ามา โดยคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในวันที่ 16 ต.ค. รวมถึงการจำหน่าย iPhone 6 ในจีนที่จะเริ่มในวันที่ 17 ต.ค.ซึ่งหากแอปเปิลยังไม่สามารถแก้ปัญหาในด้านซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ให้ได้เสร็จสิ้นก่อนกำหนดการดังกล่าว ฝันร้ายของบริษัทก็อาจลากยาวต่อเนื่องไปอีกนานแสนนานก็เป็นได้

Company Related Link :
Apple

CyberBiz Social



Photobucket Photobucket Photobucket Photobucket Photobucket

Instagram
กำลังโหลดความคิดเห็น