เอฟเอ็มเอเผยยอดวูบ 10% หลังเกิดม็อบการเมือง เตรียมหันมารุกตลาดเอกชนทดแทนตลาดภาครัฐที่เริ่มชะลอตัว มั่นใจปีนี้ยอดขายมัลติฟังก์ชันยังไปได้เพราะตลาดยังคงเติบโตและมีความต้องการ พร้อมส่ง Toshiba e-STUDIO 7 รุ่นใหม่ ชูนวัตกรรมใหม่ลบหมึกรายแรกของโลกและรียูสกระดาษได้ถึง 5 รอบ พร้อมเพิ่ม 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ จอ Display 70 นิ้ว และเครื่องพิมพ์หน้ากว้าง Rowe หวังเจาะลูกค้ากลุ่มใหม่
นายอุกฤษณ์ เตชะไชยวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เอฟเอ็มเอ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในปีที่ผ่านมายอดขายในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ในภาวะปกติ แต่หลังจากเดือนตุลาคมจนถึงเดือนธันวาคม หลังจากเกิดเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองทำให้ยอดขาย 3 เดือนสุดท้ายสะดุดลง และส่งผลยอดขายตลอดทั้งปีลดลง 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ดังนั้น การทำตลาดในปีนี้จะหันมาเน้นลูกค้าในกลุ่มองค์กรธุรกิจเอกชนมากขึ้น เพื่อชดเชยกับรายได้ในส่วนของตลาดภาคราชการที่ขาดหายไป
แต่เนื่องจากเทรนด์การเติบโตของตลาดเครื่องดิจิตอลมัลติฟังก์ชันยังมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตลาดภูมิภาคเอเชียเติบโตสูงที่สุด ซึ่งประเทศไทยนับเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ ประกอบกับคาดว่าปัญหาทางการเมืองน่าจะจบได้ในเร็วๆ นี้ เอฟเอ็มเอจึงได้ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์โตชิบาดิจิตอลมัลติฟังก์ชัน Toshiba e-STUDIO 7 รุ่นใหม่ โดยจะเน้นการนำเสนอนวัตกรรมลบหมึกรายแรกของโลกซึ่งรียูสกระดาษได้ถึง 5 รอบ เพื่อตอบสนองความต้องการในกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ยังคงมีความต้องการอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจลอจิสติกส์ ไฟแนนซ์ และแบงก์
“สำหรับเป้าหมายการทำตลาดผลิตภัณฑ์ในปีนี้ เอฟเอ็มเอเตรียมที่จะนำเสนอ Toshiba e-STUDIO รวม 13 รุ่น พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Toshiba interactive Display ที่รวมความสามารถของไวต์บอร์ด และทีวีดิจิตอลเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อตอบสนองความต้องการในด้านการประชุม นิทรรศการ สื่อโฆษณา ผ่านจอ LED ขนาด 70 นิ้ว และเครื่องพิมพ์หน้ากว้าง Rowe เพื่อจับกลุ่มลูกค้า ตลาดก่อสร้าง งานด้านสถาปัตยกรรม และออกแบบตกแต่ง”
นายอุกฤษณ์กล่าวว่า ปัจจุบันการแข่งขันในตลาดมัลติฟังก์ชันค่อนข้างสูง ดังนั้นเอฟเอ็มเอจึงต้องเตรียมจับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีนวัตกรรมที่แตกต่าง รวมไปถึงการใช้ซอฟต์แวร์ที่สามารถช่วยจัดการธุรกิจให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ โดยจะร่วมมือกับดีลเลอร์ประมาณ 45 รายสำหรับทำตลาดต่างจังหวัด ส่วนในกรุงเทพฯ นั้นจะเน้นการขายแบบไดเรกต์เซล จากสัดส่วนลูกค้าในกรุงเทพฯ 60% และต่างจังหวัด 40%
ด้านนายมิโนรุ โยชิดะ ผู้จัดการทั่วไป ส่วนการปฏิบัติงานระหว่างประเทศ บริษัท โตชิบา สิงคโปร์ พีทีอี ลิมิเต็ท กล่าวว่า การนำเสนอผลิตภัณฑ์โตชิบาดิจิตอลมัลติฟังก์ชัน Toshiba e-STUDIO เข้าสู่เมืองไทยผ่านเอฟเอ็มเอ กรุ๊ป ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการนั้น ได้ดำเนินกลยุทธ์เดียวกับโตชิบา กรุ๊ป เพื่อรุกตลาดและสร้างความสามารถทางการแข่งขัน โดยกลยุทธ์หลักประกอบด้วย 3 ปัจจัยสำคัญ คือ 1. การสร้างนวัตกรรมเพื่อความแตกต่างในด้านผลิตภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีล้ำสมัย 2. เสริมสร้างความร่วมมือธุรกิจ ซึ่งล่าสุดได้ซื้อธุรกิจ POS ของไอบีเอ็มมาทำเป็นธุรกิจใหม่เพื่อเติมเต็มธุรกิจของลูกค้าให้ครบวงจรมากขึ้น และ 3. นำเสนอโซลูชันโดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังได้เน้นแนวนโยบาย Return to Growth ที่มุ่งเน้นการสร้างความสำเร็จทางธุรกิจและการตลาดผ่านผลิตภัณฑ์ด้านที่เน้นนวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวสู่การเป็น ECO Companies ที่ต้องการสร้างนวัตกรรมให้แตกต่าง และมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมโลกด้านสิ่งแวดล้อม โดยนำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี ทรัพยากรและสังคมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด Eco Printing Solution เน้นให้สามารถรีไซเคิล รียูส ทุกส่วนตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์แต่ละตัว