xs
xsm
sm
md
lg

อนาคต1800 MHz เพื่อใคร ?!?(Cyber Weekend)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มิตร เจริญวัลย์ อดีตประธานสหภาพฯองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) ที่ทำหน้าที่สหภาพฯในช่วงตั้งแต่ยุคผูกขาดบริการโทรศัพท์ของรัฐ จนมาถึงช่วงสัญญาร่วมการงานที่ลือลั่นคือสัญญาโทรศัพท์พื้นฐาน 3 ล้านเลขหมาย จนเข้าสู่ยุคแปรสภาพทศท.เป็นบริษัทมหาชนในชื่อบริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น และสู่ยุคที่เกษียณในชื่อบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)

พี่มิตรของน้องๆนักข่าวในวงการโทรคมนาคม เคยเล่าให้ฟังว่า เคยถามผู้บริหารบริษัทสัญญาร่วมการงานหรือบริษัทสัมปทานใหญ่โตว่า หากพรุ่งนี้สัญญาสัมปทานหมดอายุไปแล้วพวกคุณจะเป็นอย่างไร คำตอบก็คือ ทุกคนเก็บกระเป๋ากลับบ้าน เพราะทรัพย์สินในแง่โครงข่ายโทรคมนาคม อุปกรณ์โทรคมนาคม รวมทั้งลูกค้าทุกอย่างต้องตกเป็นของรัฐหรือของทีโอที ที่สามารถนำไปบริหารจัดการเพื่อสร้างรายได้ให้เกิดประโยชน์กับรัฐ

นั่นนานมาแล้วหลายปี อาจจะเป็นช่วงมีกทช.ใหม่ๆ ซึ่งสมัยนั้นกทช.จะไม่เข้ามายุ่งย่ามกับสัญญาสัมปทานเด็ดขาด เพราะเจตนารมณ์ของกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นฉบับไหน ต่างคุ้มครองสัญญาสัมปทานให้เป็นเรื่องเฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ซึ่งหากจะเลิก เจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ชัดเจนว่า ไม่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ที่ควรจะได้จนถึงวันหมดสัญญา เพราะหากใครทำสุ่มสี่สุ่มห้า อาจเจอม.157 ซึ่งทำให้การแปรสัญญาร่วมการงานไม่สามารถทำได้ถึงแม้จะมีความพยายามศึกษามาทุกยุคทุกสมัย

ตัดภาพกลับมาปัจจุบันยุคกสทช.ชุดที่มี 4 กทค.(คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม) ในฝันของเอกชนนำโดยพ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณเป็นประธานภายใต้ข้อเสนอแนะด้านกฎหมายจากกสทช.สุทธิพล ทวีชัยการ

ทรูมูฟ กับ ดีพีซี จะหมดสัญญาร่วมการงานให้บริการโทรศัพท์มือถือในย่านความถี่ 1800 MHzกับบริษัท กสท โทรคมนาคม ในวันที่ 15 ก.ย. 2556 ที่จะถึงนี้ คำถามคือ ในวันที่สิ้นสุดสัญญา หากยังมีลูกค้าค้างในระบบจะทำอย่างไร ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซิมดับ ไม่สามารถใช้บริการได้ เพราะจากตัวเลขปัจจุบันทรูมูฟ มีลูกค้าใช้งานในระบบขณะนี้ประมาณ 18 ล้านเลขหมาย จะอัดโปรโมชันจูงใจเพื่อให้ลูกค้าใช้บริการย้ายค่ายเบอร์เดิม หรือ นัมเบอร์พอร์ต เพื่อมาเป็นลูกค้าทรูมูฟเอช หรือ เรียลฟิวเจอร์มากแค่ไหน แต่ก็คงย้ายไม่หมด 18 ล้านเลขหมายในเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือน ส่วนดีพีซีซึ่งมีลูกค้าแค่ 8 หมื่นเลขหมายไม่ใช่ปัญหามากมายนัก

ถึงแม้ปัญหานี้จะรับรู้มาเนิ่นนาน แต่ดูเหมือนเพิ่งมีความกระตือลือล้นที่จะแก้ปัญหาไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยแนวคิดของกสทช.คือการออกประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. ….

สรุปได้ว่าจะมีผู้ให้บริการ (ผู้ให้บริการ หมายความว่า ผู้ให้สัมปทาน และ/หรือ ผู้รับสัมปทานเดิมตามสัญญาการอนุญาตสัมปทาน หรือสัญญาที่สิ้นสุดลงตามที่คณะกรรมการมีมติกำหนด) เป็นผู้ดูแลลูกค้าต่อไปด้วยคุณภาพและมาตรฐานที่ไม่ลดลงในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี โดยห้ามหาลูกค้าใหม่ และมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ค่า USO ให้กสทช. และหลัง 1 ปีผ่านไป หากยังมีลูกค้าค้างในระบบ ผู้ที่ประมูลความถี่ 1800 MHz ดังกล่าวได้ จะต้องรับผิดชอบลูกค้ากลุ่มนี้

คำถามที่ตามมาคือเมื่อสิ้นสุดสัมปทาน ทำไมกสท ถึงไม่มีอำนาจโดยอิสระที่จะตัดสินใจเลือกว่าจะเป็นผู้ให้บริการเอง หรือ จะสามารถวางเงื่อนไขกฎเกณฑ์เพื่อคัดเลือกบริษัทเอกชนรายใดก็ได้ที่เสนอผลประโยชน์ให้กสทสูงสุด ภายใต้คุณภาพการดูแลลูกค้าที่มีการตั้งค่ามาตรฐานกำหนดไว้เป็นเกณฑ์ตัดสิน ที่ชอบธรรมและโปร่งใส

เพราะลูกค้าที่เหลืออยู่ เป็นลูกค้าในระบบ 1800 MHz ที่กสทเป็นเจ้าของทรัพย์สินและโครงข่ายทั้งหมด ไม่ใช่ลูกค้าของทรูมูฟหรือดีพีซีอีกต่อไปแล้ว

ทำไมกสทช. ถึงลุแก่อำนาจ ตัดสินเองว่าผู้ให้บริการต้องเป็นผู้ให้สัมปทานคือกสท หรือ ผู้รับสัมปทานคือทรูมูฟและดีพีซีเท่านั้น

ประเด็นที่น่าคิดตามมาติดๆคือ เรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ส่วนแบ่งรายได้ระหว่างกัน ถึงแม้ระยะเวลา 1 ปี กสทช.จะเลี่ยงบาลีว่าไม่ใช่การต่อสัญญา แต่มันก็คือการต่อสัญญาดีๆนี่เอง เพราะเชื่อได้ว่าก่อนหน้านี้เอกชนไม่ได้มีการตั้งประมาณการณ์หรือคาดการณ์รายได้ใดๆ หลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน โมเดลด้านการเงินต่างๆ ต้องถูกออกแบบมาภายใต้ระยะเวลาสัมปทานเท่านั้น

พูดได้ว่ากสทช.แจกโบนัสเอกชน 1 ปี แต่จะเป็นรายได้เท่าไหร่ มันน่าคิดอย่างมาก

สมมติเหลือลูกค้าเต็มที่สัก 10 ล้านรายในเดือนที่ 1 คิดรายได้ต่อเลขหมายสัก 150 บาท เพราะคงเหลือลูกค้าที่ใช้วอยซ์และน่าจะเป็นลูกค้าระบบพรีเพด มีการใช้งานไม่มากนัก ผู้ให้บริการก็จะมีรายได้ทันที 1,500 ล้านบาท คูณ 12 เดือนก็เท่ากับ 1.8 หมื่นล้านบาท ต่อให้หาร 2 แล้วกันเพราะเมื่อถึงเดือนที่ 12 ลูกค้าคงลดน้อยลงไป ก็จะเหลือประมาณ 9 พันล้านบาท ตัวเลขนี้คิดง่ายๆ หยาบๆ แต่คาดว่าในความเป็นจริงอย่างน้อย 1 ปีที่ดูแลลูกค้าต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทแน่นอน

หากคิดส่วนแบ่งรายได้ตามสัมปทานเดิม กสทได้ 30% เอกชนได้ 70% แต่สำหรับระยะเวลาโบนัส 1 ปี สมควรต้องมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่มีทางที่รัฐจะได้น้อยลงกว่า 30% เพราะหากรัฐได้เท่าเดิม เท่ากับรัฐเสียประโยชน์ เจ้าหน้าที่รัฐที่ดำเนินการเช่นนี้ ต้องโดนป.ป.ช. โดน 157 ตรรกะที่ควรจะเป็นคือกสท ต้องกำหนดเงื่อนไข สร้างทีโออาร์เพื่อคัดเลือกบริษัทที่พร้อมเสนอตัวมาดูแลลูกค้า ทั้งเรื่องบิลลิ่ง คอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งเรื่องการบำรุงรักษาโครงข่าย ในขณะที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนจำนวนมากสร้างโครงข่ายเพื่อให้บริการอีกต่อไป คำถามที่ต้องตอบคือ ทุกๆ 100 บาทของรายได้จากการให้บริการ กสท ควรได้รับเท่าไหร่กันแน่

น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ซึ่งเป็นเสียงเดียวที่คอยคัดค้าน 4 กทค.ในฝันเอกชน ให้ความเห็นน่าฟังเป็นอย่างยิ่งว่ากรณีการหมดสัญญาสัมปทานย่านความถี่ 1800MHz นอกจากประเด็นว่าใครจะได้สิทธิในการบริหารคลื่นความถี่และดูแลลูกค้าภายหลังหมดสัญญาแล้วยังมีอีกประเด็นที่สำคัญและน่าจับตามองคือการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ภายหลังหมดสัมปทาน ถึงแม้จะไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของกสทช.โดยตรงที่จะเข้าไปดูแลเนื่องจากเรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องของผู้ประกอบการที่จะต้องไปตกลงกันเอง

แต่เพราะรัฐเป็นคนกำหนดอัตราของสัญญาสัมปทานเป็นต้นแบบเอาไว้ว่าผู้ได้รับสัญญาสัมปทานจะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้รัฐ 30% ดังนั้นในประเด็นดังกล่าวอำนาจหน้าที่ควรจะเป็นของรัฐบาลหรือกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) โดยเฉพาะกสท ที่จะต้องกลับไปดูข้อกฏหมายว่าในเรื่องนี้เข้าข่ายข้อกฏหมายอะไรบ้าง อาทิ เข้าข่ายพ.ร.บ.ร่วมทุนฯหรือไม่ และหากเกิดการเจรจาข้อตกลงในเรื่องส่วนแบ่งรายได้ขึ้นมาแล้วจะต้องมีหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบหรือไม่

ดังนั้นจะมาสรุปว่าจะใช้อัตราส่วนแบ่งรายได้เดิมที่เคยใช้มาหรืออัตราใหม่นั้น ยังเร็วเกินไปตอนนี้เพราะยังมีกระบวนการในการดำเนินการอยู่อีกหลายขั้นตอน

ขณะที่การประชุมบอร์ดกทค.และการหารือกับผู้ประกอบการเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมาเป็นเพียงการออกร่างประกาศฯ กสทช.เรื่องมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. .... เท่านั้นเนื่องจากยังไม่ได้มีการลงมติว่าจะให้คู่สัญญาคนไหนได้เป็นคนดูแลลูกค้าต่อไป

ขณะเดียวกันกระทรวงไอซีทีกับกสท ก็ระบุชัดเจนในที่ประชุมว่าพร้อมที่จะบริหารคลื่นความถี่ต่อไป ซึ่งหากมติบอร์ดกทค.ออกมาให้กสทดูแลลูกค้าต่อไปจริงกสทก็จะเดินหน้าจ้างบริษัทเอกชนเข้ามาช่วยซึ่งอาจจะจ้างดีพีซี หรือทรูมูฟก็เป็นได้ทั้ง2ทาง แต่กสทก็ต้องไปทำข้อตกลงเรื่องราคาการว่าจ้างกับเอกชนก่อน ซึ่งเบื้องต้นทางดีพีซีไม่ขัดข้องหากกสทจะเป็นผู้ให้บริการ แล้วมาจ้างบริษัท แต่ในขณะที่ทรูมูฟยังคงต้องการความชัดเจนจากมติบอร์ดกทค.ก่อนว่าจะให้ใครเป็นคนบริหาร เนื่องจากทรูมูฟก็ต้องการบริหารคลื่นความถี่ดังกล่าวเช่นเดียวกันเพราะต้องการลูกค้าในนามของทรูมูฟ ไม่ใช่เพียงแค่กสทมาจ้างทรูมูฟให้บริการเท่านั้น

'ทรูมูฟต้องการเป็นผู้ให้บริการใช้ความถี่แล้วไปเช่ากสท ส่วนดีพีซีต้องการให้กสทเป็นผู้ให้บริการหรือเป็นคนบริหารความถี่ต่อแล้วค่อยมาจ้างดีพีซีให้ดูแลลูกค้า ซึ่งทั้งหมดมีเรื่องของรายได้เข้ามาเกี่ยวข้องโดยถือว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ระหว่างผู้ประกอบการ'

น.พ.ประวิทย์กล่าวว่า ท้ายที่สุดไม่ว่าใครจะเป็นคนเยียวยาลูกค้าต่อไปอีก1ปีแต่ความจริงแล้วต้นทุนในการขยายโครงข่ายไม่ต้องใช้แน่นอน เช่นเดียวกันเน็ตเวิร์กใหม่ก็ไม่ต้องลงทุนสร้าง ทำให้เรียกได้ว่าต้นทุนในการเยียวยา1ปีนั้นต่ำมาก ไม่เหมือนต้นทุนการเปิดบริการใหม่ที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก

'ดังนั้นหากเอกชนได้เป็นผู้ให้บริการหรือดูแลลูกค้าต่อไปอีก 1 ปี ถ้าไม่มีการเพิ่มส่วนแบ่งรายได้ให้กับรัฐมากขึ้นจากเดิมที่เคยส่งให้ 30% ก็ควรที่จะลดอัตราค่าบริการลง แต่หากใช้รายละเอียดหรือเงื่อนไขเดิม(สแตนด์สติว) ก็ไม่เห็นด้วยเพราะในเมื่อไม่ต้องลงทุนเพิ่มแล้วยังจะเอาส่วนแบ่งรายได้เท่าเดิมได้อย่างไร มันก็เหมือนกับ การกินเปล่ามีแต่ได้กับได้อย่างเดียว'

หมาก 1800 MHz ที่กำลังเดินกันอ่านได้ไม่ยาก 1.ดีพีซีของเอไอเอส ไม่กังวลเรื่องดูแลลูกค้าเพราะเหลือแค่หลักหมื่น โอนย้ายไม่ยาก แต่ต้องการให้นำความถี่ 1800 MHz มาประมูลให้เร็วที่สุดเพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดด้านความถี่ 2.ทรูมูฟ ที่อยากเป็นผู้ให้บริการ บริหารความถี่ ดูแลลูกค้าต่อไปอย่างน้อยอีก 1 ปี ด้วยส่วนแบ่งรายได้ที่กสทช.พยายามช่วยเหลือให้ลดน้อยต่ำลงกว่าส่วนแบ่งรายได้ 30% เดิม ก็เชื่อว่าทรูมูฟจะหวังโบนัสตรงนี้มาเป็นทุนประมูลความถี่ 1800 MHz เหมือน รับกระเป๋าซ้ายแล้วจ่ายกระเป๋าขวา ดีไม่ดีเหลือติดกระเป๋าเป็นทุนพิเศษอีกด้วยซ้ำ 3.ด้านกสทช.ก็จะเป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่า 4 สุดยอด กทค.ในฝันของเอกชนยังยึดหลักทำงานแบบเดิมๆมาตั้งแต่ประมูล 3G การตัดสิน BFKT ความพยายามออกประกาศประเคน 1800 MHz ให้เอกชนอีก 1 ปี และความพยายามปั้นตัวเลขช่วยให้เอกชนจ่ายน้อยลงหรือไม่ และที่สำคัญคือ 4.กสทจะต่อรองเพื่อผลประโยชน์องค์กรมากแค่ไหน หรือ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะถือว่าองค์กรไม่ใช่ของใคร หากมีโอกาสตักตวงได้ก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ก่อน เพราะมีตัวอย่างขี่เฟอร์รารี่เสวยสุขให้เห็นแล้วซึ่งอยู่ที่การตัดสินใจว่าจะเลือกอะไรระหว่างป.ป.ช มาตรา 157 หรือ เฟอร์รารี่

กิตติศักดิ์ ศรีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กสท ทราบแล้วเปลี่ยน !!!

Company Related Link :
NBTC
พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม
น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม
กิตติศักดิ์ ศรีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กสท
ร่างประกาศ1800ล่าสุด หน้า1
ร่างประกาศ1800ล่าสุด หน้า2
ร่างประกาศ1800ล่าสุด หน้า3
ร่างประกาศ1800ล่าสุด หน้า4
“ฐากร” ยันไม่มีปัญญาจัดการเรื่องความเร็ว 3G หลังหมดโปรโมชัน (FUP)
“ฐากร” ยันไม่มีปัญญาจัดการเรื่องความเร็ว 3G หลังหมดโปรโมชัน (FUP)
เอาอีกแล้ว เปิดช่องช่วยเอกชน “ฐากร” ยันบริการดาต้า 3G หากพ้นช่วงโปรโมชัน กสทช.ไม่มีปัญญาไปบังคับเรื่องความเร็วต้องเป็นไปตามเงื่อนไข FUP (Fair Usage Policy) โดยยอมรับว่า กสทช.ยังไม่มีข้อกำหนด หรือประกาศใดๆ ที่เข้ามาบังคับผู้ประกอบการว่าหลังความเร็วอินเทอร์เน็ตในโปรโมชันหมดแล้วข้อมูลจะต้องวิ่งบนความเร็วเท่าไร สวนทางกับประกาศเรื่องมาตรฐานของคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคมประเภทข้อมูลสำหรับโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่กำหนดให้ความเร็วต่ำสุดต้องไม่ต่ำกว่า 345 kbps ส่วนเรื่องลดค่าบริการ 15% เตรียมเรียกเอไอส ทรู เข้ามาคุยวันจันทร์ 17 มิ.ย.นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น