นายสตีเฟ่น กัลยาณมิตร กรรมการบริหาร บริษัท แอคเซลเล้นซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ โดยทางบริษัท เอ็นทีที ดาต้า กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านไอทีที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านการให้คำปรึกษา การบูรณาการระบบ และการสรรหาทรัพยากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อันดับ 6 ของโลก มีพนักงานกว่า 57,000 คน ดำเนินงานใน 34 ประเทศทั่วโลก เข้ามาถือหุ้นและเป็นพันธมิตรทางธุรกิจไปพร้อมๆ กัน ในสัดส่วน 53% โดยตนถือหุ้นประมาณ 40% ที่เหลือเป็นทีมผู้บริหารคนไทยอีก 7% และได้ทำการเพิ่มทุนจาก 250 ล้านบาทเป็น 500 ล้านบาท
การถือหุ้นในครั้งนี้ถือเป็นการรวมจุดแข็งของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน โดยเอ็นทีที ดาต้า กรุ๊ป มีความโดดเด่นในด้านโซลูชันและความรู้ความชำนาญในธุรกิจการใช้บัตรและการชำระเงินบนระบบต่างๆ อาทิ ระบบข้อมูลเครดิตและการเงิน หรือซีเอเอฟไอเอส รวมไปถึงโซลูชันต่างๆ ที่เอ็นทีที ดาต้า กรุ๊ป มีในแต่ละประเทศ ขณะที่ทางแอคเซลเล้นซ์มีจุดแข็งในเรื่องฐานลูกค้าและระบบดำเนินการบัตรเครดิตสำหรับสถาบันการเงินที่ครอบคลุมธุรกิจในหลากหลายสาขา นอกจากจุดแข็งด้านระบบบัตรเครดิตและการชำระเงินแล้ว แอคเซลเล้นซ์ยังดำเนินธุรกิจด้านบริการให้คำปรึกษา ระบบการวิเคราะห์และตัดสินใจทางธุรกิจ หรือบีไอ ระบบคลังข้อมูล
“ต้องยอมรับว่าการเข้ามาถือหุ้นในครั้งนี้ของเอ็นทีที ดาต้า กรุ๊ป ไม่มีความซ้ำซ้อนการทำตลาดของบริษัท เอ็นทีที ดาต้า ประเทศไทย แต่ประการใด ตรงกันข้ามกลับเสริมกันมากกว่า กลุ่มลูกค้าหลักของแอคเซลเล้นซ์เป็นตลาดทางการเงินประมาณ 90% ขณะที่ตลาดหลักของเอ็นทีที ดาต้าในประเทศไทยเป็นกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นทางด้านโรงงานอุตสาหกรรม”
นายเรียวจิ ฟูกาย่า กรรมการบริหาร และประธานเอ็นทีที ดาต้า เอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริมว่า ทางเอ็นทีที ดาต้า กรุ๊ปได้เข้าร่วมลงทุนในบริษัทคล้ายๆ กับร่วมทุนในประเทศไทยกับบริษัท แอคเซลเล้นซ์ หากรวมประเทศไทยด้วยก็จะมีการลงทุน 7 ประเทศในภูมิภาคนี้ ประกอบไปด้วย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย เวียดนาม และไทย ซึ่งการลงทุนในแต่ละประเทศจะลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่แตกต่างกันไป ซึ่งทำให้สามารถนำโมเดลที่ประสบความสำเร็จในแต่ละประเทศมาใช้ในอีกประเทศหนึ่ง หรือนำมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะกับประเทศนั้นๆ ได้ทันที หรือร่วมมือกันในการทำตลาดในประเทศนั้น ซึ่งนั่นจะทำให้แอคเซลเล้นซ์ก้าวเข้าสู่การเป็นบริษัทอินเตอร์เนชันแนลในที่สุด
เวลานี้รายได้ของเอ็นทีที ดาต้า ประเทศไทย ประมาณ 80% เป็นรายได้จากตลาดโรงงานอุตสาหกรรม เป็นรายได้จากตลาดภาครัฐและตลาดการเงินอย่างละ 10%
“เหตุผลที่ลงทุนในบริษัทแอคเซลเล้นซ์ ก็เพราะมีความเชื่อมั่นในบุคลากรคนไทยว่ามีความสามารถทางด้านระบบไอทีไม่แพ้ประเทศอื่น”
นายสตีเฟ่นกล่าวอีกว่า เวลานี้รายได้หลักๆ ส่วนใหญ่จะมาจากโครงการวางระบบไอทีถึง 85% ที่เหลือเป็นรายได้จากตลาดเอาต์ซอร์สซิ่ง 15% แต่หลังจากที่เอ็นทีที ดาต้าเข้ามาถือหุ้น ก็จะทำให้บริษัทมีความพร้อมทางด้านการเงินเพียงพอที่จะขยายงานในส่วนของตลาดเอาต์ซอร์สซิ่งในประเทศไทยได้เพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้าสัดส่วนรายได้จากตลาดเอาต์ซอร์สซิ่งไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจการเงิน ประกันภัย อุตสาหกรรม รวมถึงตลาดภาครัฐน่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทถึง 40% โดยจะเป็นทั้งงานในส่วนที่เป็นเอาต์ซอร์สซิ่งให้กับหน่วยงานโดยตรง กับโมเดลเอาต์ซอร์สซิ่งที่เป็นแบบทรานเซกชันเบส ในลักษณะคิดค่าใช้จ่ายตามจำนวนการใช้งานซึ่งจะเป็นส่วนที่จะสร้างรายได้ในระยะยาวให้บริษัทในอนาคต
“คาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยอาจจะเห็นโมเดลทรานเซกชันเบสที่เป็นลักษณะของเน็ตเวิร์กกลาง ที่ทุกรายเข้าแชร์เน็ตเวิร์กร่วมกัน”
ด้านโครงสร้างผู้ถือหุ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่ประการใด จะมีเพียงแต่ผู้บริหารจากเอ็นทีที ดาต้าเข้ามานั่งในตำแหน่งคณะกรรมการบริหารของบริษัทจำนวน 4 คนเท่านั้น ทำให้ไม่มีแผนที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อระดมทุนแต่ประการใด เพราะเอ็นทีที ดาต้า กรุ๊ปมีความมั่นคงทางด้านการเงินอยู่แล้ว
Company Relate Link :
Accellence
NTT Data Group