การศึกษาจากบริษัทรักษาความปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ "แมคอาฟี (McAfee)" ชี้ว่าการหันมาใช้ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ของรถยนต์ในปัจจุบันทำให้รถยนต์มีช่องโหว่ถูกโจมตีโดยนักเจาะระบบมากขึ้น ด้านผู้ผลิตรถยืนยันตื่นตัวรับศึกเสมอเพื่อป้องกันเหตุวัวหายล้อมคอก
จากการศึกษาเรื่อง “Caution: Malware Ahead” ของแมคอาฟีระบุว่า ระบบซอฟต์แวร์ฝังตัวหรือ Embedded System ที่มีส่วนสำคัญในการควบคุมและจัดการระบบกลไกในรถยนต์ปัจจุบันนั้นกำลังขยายความสามารถขึ้นไปบนระบบคลาวด์คอมพิวติง เช่น บริการ Sync ของค่ายรถ Ford และบริการ OnStar ของ General Motors ที่ทำให้ผู้ใช้รถของทั้ง 2 แบรนด์สามารถล็อคหรือปลดล็อครถได้ทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังมีช่องโหว่ให้นักเจาะระบบสามารถเข้าถึงรถได้โดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว ถือเป็นความเสี่ยงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากคลาวด์ ผู้ผลิตรถยนต์ปัจจุบันยังพยายามพัฒนาโปรแกรมและแอปพลิเคชันให้เจ้าของรถสามารถควบคุมรถได้จากสมาร์ทโฟน รวมถึงการตั้งเวลาชาร์จพลังงานรถไฟฟ้าอย่างแอปพลิเคชัน Chevy Volt และการติดตามตำแหน่งรถ ทั้งหมดนี้ รายงานระบุว่ามีความเป็นไปได้ในทางทฤษฎีที่นักเจาะระบบจะเข้าถึงระบบควบคุมทั้งหมด และลงมือปฏิบัติการใดๆก็ได้ตามต้องการ
แม้แมคอาฟีจะระบุว่ายังไม่มีการโจมตีรถยนต์ที่ชัดเจนในขณะนี้ แต่จากการทดลองร่วมกับนักวิจัยแห่งศูนย์รักษาความปลอดภัยระบบซอฟต์แวร์ฝังตัว Center for Automotive Embedded Systems Security พบว่าทีมสามารถเข้าถึงระบบรักษาความปลอดภัยในรถได้ทั้งจากเครือข่ายไร้สายบลูทูธ (Bluetooth) และเครือข่ายมีสายทั่วไป ถือเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้ามด้วยประการทั้งปวง
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมรถยนต์นั้นรับรู้ความเสี่ยงและได้ร่วมกันป้องกันภัยที่เกิดขึ้นแล้วโดยตั้งเป็นคณะทำงาน Vehicle Electrical System Security Committee ภายใต้การดูแลของสมาคม Society of Automotive Engineers ซึ่งจะเป็นผู้สร้างสรรแนวทางมาตรฐานการป้องกันความปลอดภัยในรถยนต์แห่งอนาคต
ประชาสัมพันธ์ของ General Motors และผู้บริหารของ Chrysler ล้วนแสดงความเห็นว่าความปลอดภัยนั้นเป็นภารกิจแรกที่บริษัทจะให้ความสำคัญ โดยมั่นใจว่าความเป็นไปได้ในการถูกเจาะระบบนั้นทำได้ในทางทฤษฎีจริง แต่แฮกเกอร์จะต้องใช้เวลานาน จุดนี้จะทำให้ทีมวิศวกรสามารถสร้างไฟร์วอลล์เพื่อปิดกั้นความพยายามได้เช่นกัน
Company Related Link :
McAfee
