การสำรวจล่าสุดพบเฟซบุ๊ก (Facebook) กลายเป็นประตูสู่โลกออนไลน์อันดับ 2 ที่ช่วยให้เว็บไซต์ข่าวถูกเปิดอ่านมากขึ้นแบบก้าวกระโดด เป็นรองก็เพียงแชมป์เก่าอย่างกูเกิล (Google) ที่ยังคงครองแชมป์บริการที่ดึงชาวเน็ตให้เข้าอ่านข่าวบนเว็บไซต์ข่าวได้มากที่สุดเช่นเดิม
สะท้อนพฤติกรรมชาวออนไลน์ในช่วงปีที่ผ่านมาที่ได้รับอิทธิพลจากกระแสเครือข่ายสังคมสุดร้อนแรงโดยตรง ทำให้ฐานะการเป็น “ประตูสู่เว็บไซต์” ของกูเกิลเริ่มสั่นคลอน ขณะที่มีการจับสังเกตว่า ทั้งกูเกิล และเฟซบุ๊ก ต่างเพิ่มดีกรีการแข่งขันกันเป็นประตูสู่โลกออนไลน์อย่างดุเดือดขึ้นทุกขณะ
ผลการสำรวจนี้มาจากการศึกษาของบริษัทวิจัย Pew Research Center ซึ่งดำเนินโครงการศึกษาเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน หรือ Project for Excellence in Journalism ทำการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคข่าวออนไลน์ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2010 ใช้สถิติการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจากบริษัทนีลเส็น (Nielsen) โดยเลือกเว็บไซต์ข่าวยอดนิยม 25 อันดับแรกในสหรัฐฯ มาวิเคราะห์ถึงความถี่ในการใช้งานของผู้อ่านเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ ระยะเวลาในการอ่านข่าวแต่ละครั้ง ขอบเขตความลึกของการค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ รวมถึงเว็บไซต์ถัดไปหลังจากอ่านข่าวเสร็จ
ปรากฏว่า กว่า 40% ของปริมาณการใช้งานเว็บไซต์ข่าวอเมริกัน (ทราฟฟิก) ทั้ง 25 แห่งนั้นมาจากเว็บไซต์อื่น โดยบริการ Google News ของกูเกิล คือบริการที่สามารถเพิ่มทราฟฟิกให้เว็บข่าวอเมริกันได้มากที่สุด สำหรับ 60% ของทราฟฟิกที่เหลือ การสำรวจพบว่าผู้อ่านส่วนใหญ่เข้าสู่เว็บไซต์โดยพิมพ์ชื่อเว็บข่าวเพื่อเปิดหน้าโฮมเพจโดยตรง จุดนี้ทำให้โฮมเพจของเว็บไซต์ข่าวเป็นส่วนที่ถูกเปิดชมมากที่สุด ซึ่งพบในเว็บไซต์ 21 ใน 25 แห่งที่ทำการสำรวจ
ทีมสำรวจตั้งข้อสังเกตว่า โซเชียลมีเดียหรือสื่อในเครือข่ายสังคมเช่นเฟซบุ๊กกำลังเป็นเครื่องมือดันทราฟฟิกตัวใหม่ที่มาแรงแซงเครื่องมืออื่น โดยขณะที่กูเกิลเป็นเบอร์ 1เฟซบุ๊กกลับเป็นบริการที่ช่วยดันยอดทราฟฟิกเว็บไซต์ข่าวอเมริกันมากเป็นอันดับ 2 จุดนี้พบในเว็บไซต์ 5 ใน 25 แห่งที่ทำการสำรวจ
นัยของผลสำรวจนี้คือ การเสิร์ชหรือการค้นหาข่าวบนเสิร์ชเอนจินซึ่งมีอิทธิพลต่อนักอ่านข่าวออนไลน์มานานนับ 10 ปี กำลังจะถูกแทรกซึมด้วยการ “แบ่งปันข่าว” หรือการแชร์ (sharing) ข่าวซึ่งเชื่อว่าจะมีอิทธิพลต่อนักอ่านข่าวต่อเนื่องในช่วง 10 ปีนับจากนี้
เว็บไซต์ข่าวอเมริกันที่ได้รับทราฟฟิกจากเฟซบุ๊กมากที่สุด คือ The Huffington Post โดยคิดเป็น 8% จากผู้อ่านทั้งหมด
เครือข่ายสังคมชื่อดังอย่างทวิตเตอร์ (Twitter) กลับไม่มีแรงดันทราฟฟิกเว็บไซต์ข่าวอย่างที่หลายคนคิด โดยมี 1 ใน 25 เว็บไซต์เท่านั้นที่ได้รับทราฟิกจากทวิตเตอร์มากเกินกว่า 1% นั่นคือ The Los Angeles Times ที่ได้รับทราฟฟิกจากทวิตเตอร์ราว 3.53%
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของระยะเวลาการใช้งาน การสำรวจพบว่าผู้อ่านเว็บไซต์ข่าวอเมริกันส่วนใหญ่ (77% ของทราฟฟิกทั้งหมดในเว็บไซต์ข่าวอเมริกัน 25 แห่ง) อ่านข่าวออนไลน์เพียง 1-2 ครั้งต่อเดือน และเวลาในการใช้งาน 1 ครั้งนั้นต่ำเพียง 2-3 นาทีต่อครั้งเท่านั้น โดยบริการยาฮูนิวส์ (Yahoo! News) คือบริการที่มี “กลุ่มผู้อ่านน้อยครั้ง” ต่ำที่สุด ซึ่งก็ยังมีสัดส่วนสูงถึง 55%
สำหรับกลุ่มที่อ่านข่าวออนไลน์เป็นประจำมากกว่า 10 ครั้งต่อเดือน และใช้เวลาอ่านแต่ละครั้งมากกว่า 1 ชั่วโมง ปรากฏว่าผู้อ่านกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยราว 7% ของทราฟฟิกเท่านั้น โดยซีเอ็นเอ็น (CNN) คือเว็บไซต์ข่าวที่มี “ผู้อ่านขาประจำ” มากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 18% ของทราฟฟิกรวม รองลงมาคือ Fox New's ที่มีสัดส่วนผู้อ่านกลุ่มนี้สูงถึง 16%
การสำรวจพบว่า มีเว็บไซต์ข่าวอเมริกันเพียง 6 แห่งเท่านั้นที่มีผู้อ่านขาประจำในสัดส่วนเป็นเลข 2 หลัก
ทีมวิจัยสรุปความแตกต่างของผลการสำรวจที่ได้ว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่องค์กรข่าวอเมริกันและทั่วโลกควรสรรหากลยุทธ์ที่แตกต่างเพื่อรองรับกลุ่มตลาดที่มีความต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งในแง่ของการบริการข่าว และการหารายได้จากผู้อ่าน โดยมองว่าโฆษณานั้นอาจเหมาะสมกับกลุ่มผู้อ่านบางกลุ่มเท่านั้น ขณะที่รูปแบบการสมัครสมาชิกก็ยังคงเหมาะสำหรับผู้อ่านอีกกลุ่ม
การสำรวจยังพบว่า กูเกิล คือเว็บไซต์ปลายทางอันดับ 1 ที่ผู้ใช้เปิดหลังอ่านข่าวจบแล้ว ก่อนที่ผู้ใช้จะท่องเว็บอื่นๆ ต่อเนื่องไปเรื่อย อย่างไรก็ตาม จุดนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่ากูเกิลไม่แสดงลิงก์ที่ทำให้ผู้ใช้เข้าสู่เว็บเฟซบุ๊กเช่นที่ส่งลิงก์เข้าสู่เว็บไซต์อื่นๆ ทำให้ทั้งกูเกิลและเฟซบุ๊กถูกมองว่าเป็นคู่แข่งกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคู่แข่งในแง่ของการเป็นประตูสู่เว็บไซต์อื่น
เว็บไซต์ 25 แห่งที่ถูกดำเนินการศึกษาในครั้งนี้ ประกอบด้วย เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ 11 แห่ง ได้แก่ The New York Times, The Washington Post, USA Today, The Wall Street Journal, The Los Angeles Times, New York Daily News, New York Post, Boston Globe, San Francisco Chronicle, Chicago Tribune และ Daily Mail ของอังกฤษ
เว็บไซต์ 6 แห่งเป็นเว็บไซต์เครือข่ายเคเบิลทีวี เช่น MSNBC, CNN, ABC, Fox, CBS และ BBC อีก 7 แห่งเป็นบริการเว็บท่ารวมข่าว เช่น Google News, the Examiner, Topix, Bing News, Yahoo! News, AOL และ The Huffington Post โดยเว็บไซต์สุดท้าย คือ สำนักข่าวสากลอย่าง Reuters