ท่ามกลางกระแสตื่นตัวเรื่องกูเกิล (Google) ยักษ์ใหญ่เว็บไซต์ค้นหาข้อมูลออนไลน์จะเปลี่ยนตัวซีอีโอจากอีริค ชมิดต์ มาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งอย่างแลร์รี เพจ ล่าสุดมีการรายงานชมิดต์กำลังเตรียมการขายหุ้นกูเกิล 534,000 หุ้นในปีหน้าซึ่งจะมีมูลค่ารวม 335 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 10,050 ล้านบาท) คิดเป็น 6% ของกลุ่มหุ้นกูเกิลที่ชมิดต์ถือครองอยู่
แผนการขายหุ้นของชมิดต์ซึ่งจะดำรงตำแหน่งซีอีโอกูเกิลถึงเดือนเมษายน 2554 ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนเพราะการทำเรื่องขออนุญาตกับคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯหรือ SEC (Securities and Exchange Commission) เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยข้อมูลที่ SEC ได้รับนั้นระบุว่าชมิดต์มีหุ้นกูเกิลในมือราว 9.2 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.9% ของหุ้นรวมกูเกิล และหุ้นในกลุ่ม Class B ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นเพื่อการออกเสียงตัดสินใจที่สงวนไว้สำหรับ 3 ทหารเสือกูเกิลอีก 9.6%
เมื่อคำนวณมูลค่าหุ้นปัจจุบันของกูเกิลที่มีมูลค่าหุ้นละ 626.77 เหรียญสหรัฐ จะพบว่าชมิดต์มีหุ้นกูเกิลในครอบครองเป็นมูลค่า 5,800 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะนี้
กูเกิลให้เหตุผลแก่ SEC ว่าการขายหุ้นครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดการทรัพย์สินส่วนตัวของชมิดต์เอง โดยแผนการขายหุ้นมากกว่า 5 แสนหุ้นนี้จะทยอยดำเนินการภายใน 1 ปีเพื่อลดผลกระทบในตลาด ซึ่งจะช่วยบรรเทาความกังวลของนักลงทุนได้
ท่าทีของนักลงทุนนั้นเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายจับตามองว่าจะส่งผลอย่างไรต่อกูเกิล หลังจากที่กูเกิลประกาศเปลี่ยนตัวซีอีโอใหม่เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา โดยแลร์รี เพจ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท จะก้าวขึ้นมาเป็นประธานกรรมการบริหารหรือซีอีโอของกูเกิล แทนที่ชมิดต์ซึ่งอยู่ในตำแหน่งนี้มานาน 10 ปีตั้งแต่สิงหาคม 2001 ขณะที่ชมิดต์จะดำรงตำแหน่งประธานบริหาร (Executive Chairman) ซึ่งจะดูแลภาพรวมธุรกิจ การทำสัญญาข้อตกลง พันธมิตร และการเข้าถึงลูกค้าภาครัฐ พร้อมกับจะยังเป็นที่ปรึกษาให้แก่แลร์รี เพจ และ เซอร์เกย์ บรินต่อไป
การผลัดใบซีอีโอของกูเกิลในครั้งนี้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับการรายงานข่าวก่อนหน้านี้ ว่าผู้ก่อตั้งกูเกิลทั้ง 2 รายและชมิดต์ได้ตกลงกันอย่างไม่เป็นทางการว่าจะร่วมกันเป็นมันสมองให้กูเกิลต่อไปจนถึงปี 2024 เป็นอย่างน้อย ทำให้การเปลี่ยนแปลงตัวซีอีโอที่เกิดขึ้นนั้นเร็วกว่ากำหนดถึง 14 ปี
นอกจากนี้ แผนการขายหุ้นของชมิดต์ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเตรียมขายหุ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2007 โดยหลังการขายหุ้น ชมิดต์จะมีหุ้นเหลือในมือทั้งสิ้น 8.7 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.7% ของหุ้นรวมกูเกิล และหุ้นในกลุ่ม Class B ประมาณ 9.1%
ในเบื้องต้น นักลงทุนตอบรับการผลัดใบซีอีโอนี้ในแง่ดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเพจนั้นเป็นผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งซีอีโอคนแรกของกูเกิลในช่วงก่อตั้ง (ปี 1998 ถึงปี 2001) และมีบทบาทสูงในการบริหารกูเกิล ขณะเดียวกัน กูเกิลได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2010 ว่าสามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 2,540 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจาก 1,970 ล้านเหรียญในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า บนรายได้รวม 8,440 ล้านเหรียญ คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นราว 26%
ทั้งหมดนี้ทำให้มูลค่าหุ้นของกูเกิลเพิ่มขึ้นอีก 2% เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
Company Related Link: