xs
xsm
sm
md
lg

แตกกิ่งเทคโนฯเพื่อคนตาบอด ทางสว่างที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปในงานนิทรรศการเทคโนโลยี i-CREATe 2008 โดยมีอาจารย์มณเฑียร บุญตัน เฝ้าฯรับเสด็จ
คุณรู้หรือไม่ว่าเครื่องพิมพ์ดีดแบบสัมผัสที่เราใช้กันในยุคแรกนั้นมีต้นกำเนิดมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้คนพิการทางสายตาสามารถเขียนข้อความได้อย่างสะดวก เช่นเดียวกับเครื่องสแกนเนอร์สำหรับสแกนภาพและข้อความต่างๆ ที่พัฒนามาจากเครื่องอ่านเอกสารสำหรับผู้พิการทางสายตา

เทคโนโลยีเพื่อผู้พิการทางสายตาในวันนี้แตกกิ่งก้านสาขาไปถึงไหนแล้ว ผู้ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกของผู้พิการทางสายตาได้ดีคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบุคคลที่ทำงานคลุกคลีอยู่กับผู้พิการทางสายตา อาจารย์มณเฑียร บุญตัน นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันสามารถใช้งานเว็บไซต์และท่องโลกอินเทอร์เน็ตได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

อาจารย์มณเฑียรเริ่มต้นชีวิตครูเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ครั้งนั้นท่านเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล บุคคลทั่วไปเรียกชื่ออาจารย์มณเฑียรจนติดปากแม้จะดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา

"ในประเทศไทยมีผู้พิการทางสายตาประมาณ 600,000 ราย ถ้านับรวมทั่วโลกมีจำนวนประมาณ 6,000,000 กว่าราย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้พิการสามารถเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ได้ มีด้วยกัน 4 ข้อ คือ 1. ยูนิเวอร์แซลดีไซน์ 2. เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก 3.ความรู้ทักษะในการใช้งานของผู้พิการเอง 4.สังคมที่เคารพสิทธิมนุษยชน ซึ่งข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ผู้พิการเป็นที่ยอมรับของคนปกติทั่วไป"

เทคโนฯไม่เคยหลับ

อ.มณเฑียร เล่าถึงที่มาที่ไปเกี่ยวกับวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเพื่อผู้พิการทางสายตาว่า มีวิวัฒนาการมายาวไกลตั้งแต่ยุคโบราณ สมัยนั้นผู้พิการฟังแล้วท่องจำเพียงอย่างเดียว ต่อมาจึงมีการพัฒนาให้สามารถอ่านได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป โดยช่วงแรกนั้นเป็นการอ่านผ่านสลักไม้ ผู้พิการจะใช้มือสัมผัสไปตามส่วนโค้งต่างๆเพื่อให้รู้ว่ากำลังอ่านตัวอักษรใดอยู่

"ข้อดีของการอ่านลักษณะนี้คือสามารถอ่านข้อความได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป แต่ข้อเสียคืออ่านได้ช้า เพราะต้องใช้เวลาในการสัมผัสส่วนโค้งของตัวอักษรแต่ละตัว"

ยุคถัดมาประมาณ 200 ปี อักษรเบรลล์ได้ถือกำเนิดขึ้นโดย หลุยส์ เบรลล์ (Louis Braille) ครูตาบอดชาวฝรั่งเศส ซึ่งอักษรมีลักษณะเป็นจุดนูนเล็กๆ ภายใน 1 ช่องประกอบด้วยจุด 6 ตำแหน่ง นำมาจัดสลับกันไปมาเป็นรหัสแทนอักษรมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปหรือ สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โน้ตดนตรี ฯลฯ โดยใช้เวลาร่วม 100 ปีถึงเป็นที่ยอมรับจากผู้คนทั่วทุกมุมโลก

สำหรับประเทศไทยนั้นอักษรเบรลล์ได้เข้ามาช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีนายเจนีวีฟ คอล์ฟิลด์ และนายแพทย์ฝน แสงสิงห์แก้วเป็นผู้ดัดแปลงประดิษฐ์ให้เป็นอักษรเบรลล์ภาษาไทย ใช้หลักการเทียบเสียง ซึ่งใช้ 2 ช่องต่อหนึ่งตัวอักษร

นอกจากเรื่องการใช้ตัวอักษรเพื่อดำเนินชีวิตให้เหมือนกับคนปกติทั่วไปแล้ว อาจารย์บอกว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้พิการทางสายตาต้องมี นั่นคือการเคลื่อนไหว อย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการใช้ไม้เท้านำทาง

"แต่เดิมคนตาบอดใช้ท่อนไม้ในการนำทางมานับพันปี แกว่งไปตามธรรมชาติ ต่อมาช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้พัฒนาการเคลื่อนไหวเข้ากับหลักทางวิชาการ ทำให้การแกว่งไม้เท้ามีหลักการมากขึ้น พื้นฐานสำคัญในการดำรงชีวิตของผู้พิการทางสายตามีด้วยกันอยู่ 2 อย่าง คืออักษรเบรลล์และการเคลื่อนไหว ทั้ง 2 อย่างต้องควบคู่กันไป จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้"

อาจารย์ย้ำว่า แม้เครื่องบันทึกนานาชนิดจะเข้ามามีบทบาทกับผู้พิการทางสายตาในยุคนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมาแทนที่อักษรเบรลล์ได้ ทั้งที่เทคโนโลยีการอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการทางสายตาด้วยเสียงนั้นถูกพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง

ตัวอย่างเทคโนโลยีการอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการทางสายตาด้วยเสียง ได้แก่ เครื่องอ่านเอกสารสำหรับผู้พิการทางสายตาที่ใช้เทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) เป็นสื่อกลางในการทำงานระหว่างสแกนเนอร์กับคอมพิวเตอร์ หรือเทปคาสเซตระบบอนาลอกที่พัฒนามาสู่ระบบดิจิตอลในปัจจุบัน ที่สำคัญคือซอฟต์แวร์ Screen reader โปรแกรมอ่านจอภาพที่เป็น"ดวงตา"ให้ผู้พิการสามารถรับทราบว่าจอคอมพิวเตอร์กำลังแสดงเนื้อหาใดอยู่

นี่เองคือเบื้องหลังที่ทำให้ผู้พิการทางสายตาสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้เช่นเดียวกับคนปกติ โปรแกรมจะทำหน้าที่สแกนข้อความที่ปรากฎบนจอภาพ ผู้ใช้สามารถเลือกว่าจะให้โปรแกรมอ่านหน้าจอออกมาในรูปเสียง หรือพิมพ์เป็นอักษรเบรลล์บนแผ่นกระดาษ

“ทุกวันนี้ผมทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ ท่องอินเทอร์เน็ต ได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป โดยมี Screen reader เป็นสื่อกลางคอยอำนวยความสะดวกระหว่างการทำงาน”

บอด-หนวก-ปกติ เรียนร่วมกันได้

อาจารย์เชื่อว่า เทคโนโลยีที่จะมีบทบาทกับผู้พิการในอนาคตอันใกล้นี้คือมาตรฐานหนังสือมัลติมีเดียที่มีชื่อเรียกว่า "DAISY” เป็นวิวัฒนาการใหม่ของหนังสือมัลติมีเดียในรูปแบบสื่อผสมที่ผู้พิการทางสายตาและหู รวมถึงคนปกติทั่วไปจะสามารถใช้งานร่วมกันได้

"ไม่ใช่ผู้พิการทางสายตาเท่านั้นที่ใช้ได้ คนปกติทั่วไปก็สามารถเรียนรู้ร่วมกับคนพิการควบคู่ไปได้ด้วย"

ในส่วนอุปกรณ์นำทาง อาจารย์บอกว่าไม้เท้ามาตรฐานสากลที่ใช้กันอยู่ทั่วไปจะยังคงเป็นอุปกรณ์ที่น่าเชื่อถือมากที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีไม้เท้าที่ใช้แสงเลเซอร์หรือเสียงในการนำทางออกมาเพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นก็ตาม โดยให้เหตุผลว่าเทคโนโลยีนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาความเป็นจริงได้ โดยเฉพาะการแปรเปลี่ยนของสภาพแวดล้อม รวมถึงสุนัขนำทางที่ถือกำเนิดในเวลาไล่เลี่ยกับไม้เท้าด้วย

สำหรับเทคโนโลยีไฮเทคอย่างจีพีเอสที่ถูกนำมาใช้ในการนำทางผู้พิการทางสายตาตั้งแต่ปี 1993 หรือประมาณ 15 ปีที่แล้ว อาจารย์ชี้ว่าในประเทศไทยนั้นจีพีเอสยังไม่มีการใช้งานที่แพร่หลาย เนื่องจากมีราคาค่อนข้างสูง คนที่จะใช้ต้องมีฐานะทางการเงินค่อนข้างดี

ปัจจุบันอาจารย์ใช้โทรศัพท์มือถือระบบซิมเบียน คอยช่วยบอกว่าอยู่ที่ไหนโดยอาศัยคลื่นจากเสาสัญญาณของเครือข่ายบอกตำแหน่งเมื่ออยู่ตามที่ต่างๆ ซึ่งเหมือนกับที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอของผู้ใช้ทั่วไป ทั้งนี้ไม่ได้ใช้ในการวางแผนเพื่อการเดินทางหรือนำทางแต่อย่างใด

ชีวิตที่ไม่ต่างจากคนทั่วไป

อาจารย์เล่าถึงอุปสรรคที่ผ่านมาผ่านแนวคิด 3 ข้อ หนึ่งคือเจตคติที่คนในสังคมและคนตาบอดต่างไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง สองคือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารซึ่งมีความสำคัญมาก และสามคือปัญหาในการเดินทาง โดยเฉพาะในแง่ของการใช้ทักษะ

"ปัญหาข้อสามจะสัมพันธ์กับปัญหาข้อสอง เพราะถ้าไม่มีข้อมูลข่าวสารก็ไม่อาจจะเดินทางไปในที่ต่างๆได้อย่างถูกต้อง ทั้ง 3 ข้อจะเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน ซึ่งหนทางในการขจัดอุปสรรค คือคนตาบอดต้องรวมตัวกัน เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนในการผลักดันทุกคนให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน”

ทุกวันนี้ ชีวิตประจำวันของอาจารย์ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป อาจารย์สามารถทำอาหารได้ โดยอาหารอย่างแรกที่ทำได้คือการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สามารถเล่นกีฬาได้ ส่วนใหญ่เป็นการออกกำลังกายในร่มมากกว่ากลางแจ้ง

อาจารย์ย้ำว่าเบื้องหลังของการประสบความสำเร็จและกำลังใจที่ดีที่สุดคือครอบครัว อาจารย์บอกว่าโชคดีที่มีบิดามารดาคอยอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนเห็นแก่ตัว ที่สำคัญคือไม่ปล่อยให้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ปัจจุบันอาจารย์มีครอบครัวพร้อมพยานรักเป็นบุตรสาวหนึ่งคน คติประจำใจในการดำรงชีวิตคือ “ข้าพเจ้าปฏิเสธการยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง”

อาจารย์มณเฑียรกล่าวทิ้งท้ายว่า ความจริงบทบาทในการดำเนินชีวิตของคนตาบอดนั้นเหมือนกับคนปกติทั่วไป มีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งบัณฑิตและโจร ฉะนั้นการที่บุคคลคนหนึ่งตาบอดก็ไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดความผิดแปลกจากคนทั่วไปแต่อย่างใด ปัญหาอยู่ที่โอกาสในการเรียนรู้มากกว่า

คำบอกเล่าของอาจารย์ทำให้ทุกคนเห็นว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลาทำให้การดำเนินชีวิตของผู้พิการเป็นเรื่องง่ายขึ้นเพียงแค่ปลายนิ้ว ที่สำคัญ คำตอบสุดท้ายของการมองไม่เห็นไม่ใช่การท้อแท้สิ้นหวังอีกต่อไปแล้ว เพราะทุกวันนี้ผู้พิการทางสายตาสามารถทำงานประกอบอาชีพที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนทั่วไป ไม่เหมือนในอดีตที่ผ่านมาที่สังคมไทยจำกัดโอกาสให้คนตาบอดจมอยู่กับโลกมืดและลอตเตอรี่เท่านั้น

Company Related Links :
สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย
อาจารย์มณเฑียร บุญตัน นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย
ทดลองการเล่นเกมโอเทโลกับนักวิจัยชาวญี่ปุ่นที่สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย
อาจารย์มณเฑียรกับเพื่อนต่างชาติขณะเข้าร่วมงานนิทรรศการเทคโนโลยี i-CREATe 2008
เมื่อครั้งเดินทางไปประเทศสเปน
เครื่องอ่านหนังสือเสียงตามมาตรฐานDAISY” สำหรับผู้พิการทางสายตา
กำลังโหลดความคิดเห็น