ผบช.สอท.เผย สั่งเตรียมพนักงานสอบสวนรับเรื่องคดีเพจดังไลฟ์สดกดดันดาบตำรวจ สภ.พรหมบุรี เส้นเลือดสมองแตก
จากกรณีที่เพจชื่อดังไลฟ์สดกดดัน ด.ต.ศุภมิตร พวงประเสริฐ ผบ.หมู่งานจราจร สภ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ขณะปฏิบัติหน้าที่ตั้งกล้องตรวจจับความเร็วรถบริเวณเกาะกลางถนน ต.บ้านหม้อ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี จนมีอาการวูบชักเกร็งถึง 12 ครั้ง ก่อนนำตัวส่ง รพ.ตำรวจ เร่งรักษาอาการโดยด่วย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา
ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (24 มี.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าว ว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ บก.สอท.2 เตรียมพนักงานสอบสวนไว้รับเรื่องราว ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบว่าในการเข้าพบครั้งนี้ ทางภรรยาผู้เสียหายมีจุดประสงค์อะไร โดยทางตำรวจก็จะต้องพิจารณาตรวจสอบว่าการไลฟ์สด จะเข้าความผิดตาม ม.14 ม.16 หรือมาตราใดบ้างที่มีผลกระทบต่อผู้อื่น หรือเป็นความผิดฐานดูหมิ่นด้วยการโฆษณา อย่างไรก็ตามจะต้องมีการสอบปากคำภรรยาของผู้เสียหายอย่างละเอียด
ส่วนการกล่าวอ้างของเจ้าของเพจว่า เป็นการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ก็สามารถทำได้ ยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นบุคคลสาธารณะ และพร้อมที่จะให้ทำการตรวจสอบ แต่การตรวจสอบจะต้องมีขอบเขต และต้องดูเจตนาความเหมาะสมในการใช้สื่อโซเชียล เนื่องจากการไลฟ์สดต้องดูความเหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องสถานที่ต้องดูว่าเป็นสถานที่สาธารณะหรือไม่ หรือเป็นสถานที่ส่วนตัว การไลฟ์ต้องไม่เป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานหรือตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องไม่เป็นการดูหมิ่นไม่ว่าจะเป็นด้วยกิริยาหรือคำพูด และต้องไม่เป็นการพูดชี้นำหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งต่างจากกรณีที่สื่อมวลชนนำเสนอข้อเท็จจริงจากแหล่งข่าวเผยแพร่ไปยังประชาชน ตรงนี้สามารถทำได้ เพราะมีเจตนาในการเผยแพร่ชัดเจน และหากพบว่า มีการกระทำใดที่เลยขอบเขต ผู้ถูกกล่าวหาก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเอง
ส่วนรายละเอียดว่าตำรวจนายดังกล่าวมีอาการป่วยก่อนหน้านี้อยู่แล้ว หรือถูกกดดันจนทำให้เกิดอาการนั้น จะต้องดูเป็นกรณีไปขณะนี้อยู่ในการรักษาตัวของแพทย์ สำหรับประเด็นเรื่องการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่และไลฟ์ จนเป็นเหตุให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เรื่องนี้ต้องมีการพิจารณา หากอยู่ในความรับผิดชอบของอำนาจการสอบสวนของตำรวจไซเบอร์ก็สามารถดำเนินการได้ทันที หรือหากอยู่ในความรับผิดชอบท้องที่ใด ก็จะมีการประสานกัน หรือหากตำรวจท้องที่มีข้อมูลหลักฐานชัดเจน ก็จะให้ตำรวจไซเบอร์ส่งสำนวนไปให้ท้องที่ในการทำคดีหลักเกี่ยวกับเรื่องทำร้ายร่างกายเป็นคดีเดียวกันเลยก็สามารถทำได้