ผู้จัดการรายวัน360ํ - “ตำรวจ ตม.” โชว์ผลงานลุยตรวจจับอาชญากรข้ามชาติทุกสายพันธุ์ โดยใช้ Biometrics คัดกรองคนต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรผ่านด่าน ตม.ทุกด่าน
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงกรณีที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ได้จับกุม นายเอเลียส สัญชาติออสเตรเลีย อาชญากรคนสำคัญที่สังกัดแก๊ง Hell angels ซึ่งเป็นกลุ่มมาเฟียใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ ว่า สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ได้นำลายนิ้วมือของนายเอเลียสไปสแกนสืบค้นกับระบบไบโอเมตริกซ์ (Biometrics) จนพบว่า นายเอเลียส เดินทางเข้าประเทศไทยด้วยหนังสือเดินทางของประเทศอิตาลี ในชื่อของ Mr.Gjini ซึ่งมีการแจ้งหายไว้ก่อนแล้ว โดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยวประเภทที่อยู่ในไทยได้ไม่เกิน 30 วัน
รายงานข่าวแจ้งต่อว่า จากนั้น นายเอเลียส ยังได้ใช้พาสปอร์ตชื่อ Mr.Gjini แต่ภาพใบหน้าเป็นของนายเอเลียสในการยื่นขอต่ออายุวีซ่า เมื่อ สตม.ตรวจพบว่าเป็นคนร้ายคนสำคัญของประเทศออสเตรเลีย ทางสถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ได้ขอลายนิ้วมือคนร้ายจากระบบไบโอเมตริกซ์เอาไปตรวจสอบซ้ำ พบว่าเป็นผู้ต้องหารายสำคัญของประเทศออสเตรเลีย มีหมายจับติดตัวถึง 38 คดี เป็นความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน 36 คดี ความผิดเกี่ยวกับการนำเข้ายาเสพติดเมทแอมเฟตามีน 1 คดี และมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ 1 คดี อีกทั้งยังมีประวัติ อาชญากรรมเกี่ยวกับการทำร้ายเจ้าหน้าที่ และการปล้นทรัพย์ด้วย นำมาสู่การจับกุมตัว
โดยกรณีจับกุมนายเอเลียสเป็นหนึ่งในหลายๆ คดีที่มีการจับกุมผู้ร้ายหรืออาชญากรข้ามชาติโดยระบบไบโอเมตริกซ์ที่ถือว่ามีประสิทธิภาพมากหลังจาก สตม.นำ มาใช้ปฏิบัติงาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สตม.ได้ทำการสืบสวนคนต่างด้าวที่เข้ามาพำนักอาศัยในประเทศไทย โดยสืบสวนตรวจสอบหาคนต่างด้าวที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุข และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด จึงได้ทำ การตรวจสอบคนต่างด้าวที่มีหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติขึ้นไป
โดยตรวจสอบข้อมูลในระบบสารสนเทศไบโอเมตริกซ์ สตม.เพื่อตรวจเปรียบเทียบพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลผ่านภาพใบหน้าพบว่า มีคนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ โดยส่วนใหญ่จะถือหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศหมู่เกาะ เช่น ประเทศวานูอาตู หรือประเทศเซนต์คิตส์และเนวิส เป็นต้น เดินทางเข้ามาพำนักในประเทศไทยจำนวน 117 ราย
จากนั้น กองบังคับการสืบสวนสอบสวนได้ประสานไปยังสถานทูตตามหนังสือเดินทางของคนต่างด้าวเหล่านั้น เพื่อขอทำการตรวจสอบประวัติ จากการตรวจสอบประวัติของคนต่างด้าวดังกล่าวทั้ง 117 ราย พบว่า เป็นบุคคลที่รัฐบาลต่างประเทศ โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาชนจีนได้มีการออกหมายจับไว้ที่ประเทศต้นทางจำนวน 17 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ ฉ้อโกง และฟอกเงิน ซึ่งทั้ง 17 รายได้หลบหนีและเข้ามาพำนักในประเทศไทย
กองบังคับการสืบสวนสอบสวนจึงได้นำข้อมูลคนต่างด้าวทั้ง 17 ราย มาตรวจสอบโดยละเอียด รวมทั้งขอหนังสือยืนยันและสำเนาหมายจับจากสถานทูตฯ เพื่อนำ มาประกอบการขออนุมัติเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรไทย โดยในระหว่างการประสานข้อมูลกับสถานทูตนั้น ได้มีคนต่างด้าวบางส่วนเดินทางออกนอกราช อาณาจักรไปแล้ว คงเหลืออยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียง 3 ราย
เมื่อได้รับการยืนยันและสำเนาหมายจับจากสถานทูต กองบังคับการสืบสวนสอบสวนจึงได้ทำการอนุมัติเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรไทยของคนต่างด้าวทั้ง 3 รายดังกล่าว และได้ออกสืบสวนติดตามคนต่างด้าวทั้ง 3 ราย เพื่อนำตัวมาผลักดันส่งออกนอกราชอาณาจักรไทย
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบกับระบบสารสนเทศไบโอเมตริกซ์ สตม.ยังพบว่า คนต่างด้าวจำนวน 117 ราย ที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ และยังไม่ได้เดินทางออกไปจากราชอาณาจักไทย เป็นผู้ที่อยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดอนุญาต (Overstay) อีกจำนวน 58 ราย จึงได้เปิดปฏิบัติการยุทธการกวาดล้างมังกรซ่อนกายจำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 66 มีการแถลงข่าวผลการจับกุม ซึ่ง สตม. สามารถจับกุมตัวคนต่างชาติซึ่งมีหมายจับต่างประเทศข้างต้นได้จำนวน 3 ราย เพื่อผลัดกันส่งกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศต้นทาง และครั้งที่ 2 เมื่อ วันที่ 14 มิ.ย. 66 มีการแถลงข่าวผลการจับกุม ซึ่ง สตม.สามารถจับกุมตัวคนต่างชาติซึ่งมีหมายจับต่างประเทศข้างต้นได้จำนวน 9 ราย เพื่อผลัดกันส่งกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศต้นทาง
ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยว่า ในปัจจุบัน สตม.ได้บันทึกข้อมูลบุคคลต่างด้าวที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับและประสานงานในระบบสารสนเทศไบโอเมตริกซ์ สตม.เพื่อใช้ตรวจคัดกรองคนต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรผ่านช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมืองทุกด่าน
กรณีระบบไบโอเมตริกซ์ตรวจพบบุคคลซึ่งมีข้อมูลชีวภาพเดียวกันกับบุคคลเป้าหมาย แม้ว่าถือหนังสือเดินทางของประเทศอื่นๆ ก็สามารถยืนยันได้ว่าเป็นบุคคลเดียวกันจริง ซึ่งนำไปสู่การจับกุมตัวผู้กระทำความผิด หรือการปฏิเสธห้ามเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว รวมไปถึงคนไทยได้ว่า สตม.มีระบบสารสนเทศที่สามารถตรวจคัดกรองบุคคลที่น่าเชื่อว่าเป็นภัยต่อสังคมให้ไม่สามารถเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรมได้ที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ทั้งคนไทย และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี