เอลซัลวาดอร์ เปิดตัวโครงการ “BTC Freedom Visa ” แลกเงื่อนไขบวกค่าธรรมเนียม 10 เท่า หลังราคาคริปโตฟื้น ยอมแตกหัก IMF
โครงการการเป็นพลเมืองโดยการลงทุนแบบเดียวกันในประเทศแถบแคริบเบียนใกล้เคียงเริ่มต้นที่ 100,000 ดอลลาร์ และประเทศในสหภาพยุโรปประเทศหนึ่งมีเส้นทางการเป็นพลเมืองในราคาเพียง 800,000 ดอลลาร์
เอลซัลวาดอร์ได้เปิดตัวโครงการระดมทุนสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสัญชาติ ซึ่งจะมีการออกวีซ่าให้ผู้ที่ต้องการพำนักและการถือสัญชาติร่วม โดยตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 คน โดยมีเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการถือครอง Bitcoin ไม่น้อยกว่ามูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบอัตราค่าะรรมเนียมดังกล่าวแล้วสูงกว่าการถือสัญชาติธุรกิจของกลุ่มประเทศในอเมริกากลาง หรือประเทศเพื่อนบ้านในแถบแคริบเบียนซึ่งเริ่มต้นที่ 100,000 ดอลลาร์
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลเอลซัลวาดอร์ได้จับมือกับผู้ออกเหรียญ stablecoin อย่าง Tether ร่วมโครงการ "วีซ่าอิสรภาพของเอลซัลวาดอร์” โดยกำหนดเงื่อนไขเสนอสถานะพลเมือง 1,000 ใบแก่นักลงทุนที่ร่ำรวย ซึ่งให้คำมั่นว่าจะ “ลงทุน Bitcoin หรือ USDT มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์” โดยเริ่มต้นด้วยเงินฝากที่ไม่สามารถขอคืนได้จำนวน 999 ดอลลาร์ที่ซึ่งเป็นเครดิตการยื่นขอวีซ่าในยอดรวมสินทรัพย์รวม
ทั้งนี้ นายนายิบ ตั้งเป้าว่า โครงการดังกล่าวจะมีการระดมเงินได้ไม่น้อยกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หากเต็มตามจำนวนที่ตั้งเป้าไว้ ซึ่งโครงการนี้ถือว่าจะเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับประเทศ ขณะที่ประเทศอื่นๆ ก็มีโครงการคล้ายคลึงกัน เช่น วานูอาตู ซึ่งมีรายได้หลายล้านดอลลาร์ต่อปีจากโครงการการลงทุนเพื่อความเป็นพลเมือง
Alistair Milne ผู้ก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยง crypto Altana Digital Currency โพสต์ใน X (ชื่อเดิม Twitter) ว่าข้อเสนอของเอลซัลวาดอร์นั้น “ไม่มีการแข่งขันในตลาดโลก” และยังให้มุมมองความแตกต่างว่า สิทธิการถือครองความเป็นพลเมืองในประเทศสหภาพยุโรป สามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่านี้มาก
ทั้งนี้ นายนายิบ บูเคเล่ ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันต่างๆ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งทาง IMF ได้เคยออกมาเตือนเขาเกี่ยวกับความเสี่ยงที่สกุลเงินดิจิทัลจะเกิดขึ้นกับเอลซัลวาดอร์ ซึ่งอาจมำให้ส่งผลกระทบกับหนี้สาธารณะของประเทศระยะยาวในจำนวนมหาศาล ซึ่งทำให้ประเทศเอลซัลวาดอร์ซ้ำรอยเวเนซุเอล่าได้