ศาลฎีกาพิพากษากลับ สั่งกองทัพบก ชดใช้เงิน 2 ล้านให้แม่ ”ชัยภูมิ ป่าแส“ นักเรียนม.4 ถูกทหารยิงดับคาด่านจ.เชียงใหม่ หลัง 2 ศาลล่างยกฟ้อง
วันนี้ (16 พ.ย.) ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่ นางนาปอย ป่าแส มารดานายชัยภูมิ ป่าแส ซึ่งถูกยิงเสียชีวิต เป็นโจทก์ฟ้อง กองทัพบก จำเลยกระทำผิดฐานละเมิด
กรณีเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2560 นายชัยภูมิ ป่าแส นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนเชียงดาววิทยาคม อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ถูกเจ้าหน้าที่ทหารที่ด่านบริเวณบ้านรินหลวงยิงเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าพบห่อยาเสพติดจำนวน 2,800 เม็ด ซุกซ่อนในรถที่ผู้ตายขับมา และได้ขัดขืนการจับกุมก่อนควักระเบิดจะขว้างใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่ทำการวิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิ ป่าแส จนเสียชีวิต
คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ต่อมาโจทก์ยื่นฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักมากเพียงพอที่ศาลฎีกาจะเชื่อถือได้มากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่าพลทหาร ส.ใช้ปืนเอ็ม 16 ยิงผู้ตายเพื่อป้องกันตัวตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจโจทก์ในชั้นไต่สวนชันสูตรพลิกศพผู้ตาย น่าเชื่อว่าพลทหารสุรศักดิ์ใช้ปืนยิงเพื่อสกัดไม่ให้ผู้ตายวิ่งหลบหนีโดยไม่ได้มีเจตนาประสงค์ต่อชีวิตของผู้ตาย แต่พลทหาร ส.นำอาวุธปืนเอ็ม 16 ซึ่งเป็นอาวุธสงครามมีอนุภาคร้ายแรงไปใช้ปืนยิงสกัดมาให้ผู้ตายวิ่งหลบหนีโดย ตัวเองกำลังวิ่งไล่ตามอยู่นั้น ถือเป็นการกระทำโดยประมาท อันเป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งการละเมิดของเจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้มานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยและเห็นพ้องด้วยกับฎีกาของโจทก์เพียงบางส่วน
ส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิ์ที่จะได้รับอุปการะตามกฎหมายซึ่งอาจกำหนดให้ได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ตายจะมีรายได้หรือได้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์หรือไม่เมื่อพิเคราะห์ความสามารถในการประกอบอาชีพของผู้ตายได้ความว่าขณะเกิดเหตุผู้ตายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ ทำกิจกรรมต่างๆมีรายได้และช่วย อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ ทางผู้ตายมีผลการเรียนระดับดีมากน่าเชื่อว่าหากยังมีชีวิตจะสามารถสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ประกอบกับ ขณะเกิดเหตุโจทก์มีอายุ 45 ปี จำนวนเงินค่าขาดการไร้อุปการะที่โจทก์ขอมา จำนวน 1,952,400 บาท จึงเป็นจำนวนที่เหมาะสมตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิดแล้ว เห็นสมควรกำหนดค่าขาดไร้ความแก่โจทก์เป็นเงิน 1,952,400 บาท และที่โจทก์ขอเรียกร้องค่าเสียหายต่อจิตใจ กฎหมายแพ่งมาตรา 446 มิได้ให้สิทธิ์แก่ผู้เสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมเพื่อความเสียหายทางจิตใจจึงไม่อาจกำหนดให้ได้ ดังนั้นจำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์รวมทั้งสิ้น 2,072,400 บาทและโจทก์มีสิทธิ์เรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กฎหมายกำหนดนับแต่วันละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จ
ศาลฎีกาจุงพิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 2,072,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา
ร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 มี.ค. 2560 ถึงวันที่ 10 เม.ย. 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เม.ย. 2564