ศาลแพ่งยกคำร้อง ชี้ ผกก.สน.ดุสิตไม่มีอำนาจยื่นขอให้สั่งม็อบชาวบ้านเดือดร้อนที่ดินทำกิน หน้าสหประชาชาติยุติการชุมนุม
วันนี้ (5 ต.ค.) กรณี ผกก.สน.ดุสิตยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ย.2566 หัวหน้าสน.นางเลิ้งได้รับหนังสือจากกลุ่มผู้ชุมนุมแจ้งการชุมนุมสาธารณะ บริเวณหน้าอาคารองค์การสหประชาชาติ (UN) ถนนราชดำเนินนอก แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กทม.โดยมีวัตถุประสงค์ชุมนุมเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดิน ที่อยู่อาศัย และแก้ไขปัญหากรณีของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม โดยลักษณะการชุมนุมสาธารณะ ไม่มีการเดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายสถานที่ชุมนุม มีผู้เข้าร่วมชุมนุมประมาณ 500 คน ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2566 กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนย้ายการชุมนุมจากหน้าองค์การสหประชาชาติ (UN) มายังบริเวณเกาะกลางคู่ขนาน ใกล้กับประตู 5 ติดกับแนวรั้วทำเนียบรัฐบาล ถนนราชดำเนินนอก แขวงดุสิต เขตดุสิต กทม. จึงเป็นการผิดเงื่อนไขการชุมนุมที่ได้แจ้งไว้กับหัวหน้าสน.นางเลิ้ง ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ต.ค.2566 ผกก.สน.ดุสิตเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม และได้อ่านประกาศเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะ เรื่อง ให้แก้ไขการชุมนุมสาธารณะ เนื่องจากปรากฏว่าการชุมนุมสาธารณะดังกล่าวมีลักษณะฝ่าฝืนกฎหมาย ประกอบกับกองบัญชาการตำรวจนครบาลมีคำสั่งที่ 409/2566 ลงวันที่ 2 ต.ค.2566 เรื่อง ประกาศห้ามชุมนุมสาธารณะในรัศมีไม่เกิน 50 เมตร รอบทำเนียบรัฐบาล ตามมาตรา 7 วรรคท้ายแห่งพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 จึงขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนย้ายกลับไปจัดการชุมนุมที่บริเวณหน้าองค์การสหประชาชาติ (UN) แต่ผู้ชุมนุมยังคงปักหลักชุมนุม ณ บริเวณ แนวรั้วทำเนียบรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ผู้ร้องเห็นว่าการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุม
บัดนี้ศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ ชส4/2566 มีคำสั่งโดยสรุปได้ว่า ก่อนที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะจัดการชุมนุมสาธารณะได้ยื่นหนังสือแจ้งการชุมนุมสาธารณะต่อผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง หัวหน้าสถานีตำรวจแห่งท้องที่ที่มีการชุมนุมสาธารณะไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง หัวหน้าสถานีตำรวจแห่งท้องที่ที่มีการชุมนุมสาธารณะ จึงเป็นเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะ ตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง, 19 วรรคหนึ่ง ต่อมาวันที่ 2 ต.ค.2566 ผู้ชุมนุมดังกล่าวได้รวมตัวกันหน้าอาคารองค์การสหประชาชาติและได้เดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายการชุมนุมมายังบริเวณเกาะกลางคู่ขนานใกล้กับประตู 5 ติดกับแนวรั้วทำเนียบรัฐบาล ถนนราชดำเนินนอก แขวงและเขตดุสิต กทม.ซึ่งอยู่ในท้องที่สน.ดุสิต มีผู้ร้องเป็นหัวหน้าสถานีตำรวจดังกล่าว การที่ผู้ชุมนุมมิได้แจ้งว่าจะมีการเดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุม แต่กลับมาเดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายการชุมนุม จึงผิดเงื่อนไขการชุมนุมที่ได้แจ้งไว้ โดยไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งล่วงหน้าต่อหัวหน้าสน.นางเลิ้ง จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 17 หลังจากนั้นผู้ร้องได้อ่านคำสั่งกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ 409/2566 ลงวันที่ 2 ต.ค. 2566 เรื่อง ประกาศห้ามชุมนุมสาธารณะในรัศมีไม่เกิน 50 เมตร รอบทำเนียบรัฐบาล ตามมาตรา 7 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 แต่ผู้ชุมนุมยังคงยืนยันและพักค้างแรม ณ บริเวณเกาะกลางคู่ขนานใกล้กับประตู 5 ติดกับแนวรั้วทำเนียบรัฐบาล และผู้ร้องได้อ่านประกาศเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะ สน.ดุสิต ที่ 187/2566 ลงวันที่ 4 ต.ค. 2566 "เรื่อง ให้แก้ไขการชุมนุมสาธารณะ เมื่อผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามประกาศให้ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุมภายในระยะเวลาที่กำหนด เจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะชอบที่จะร้องขอต่อศาลแพ่งหรือศาลจังหวัดที่มีเขตอำนาจเหนือสถานที่ที่มีการชุมนุมสาธารณะเพื่อมีคำสั่งให้ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุมสาธารณะนั้นได้ ตามมาตรา 21 วรรคสอง ในกรณีที่เป็นการชุมนุมสาธารณะที่ต่อเนื่องหลายพื้นที่ ให้ผู้บังคับการหรือผู้บัญชาการตำรวจซึ่งรับผิดชอบพื้นที่การชุมนุม แล้วแต่กรณี เป็นเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะ ตามมาตรา 19 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่าการชุมนุมสาธารณะดังกล่าวเป็นการชุมนุมสาธารณะที่ต่อเนื่องหลายพื้นที่ระหว่างสน.ดุสิต ดังนั้นผู้มีอำนาจยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อมีคำสั่งให้ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุมสาธารณะคือ ผู้บังคับการหรือผู้บัญชาการตำรวจซึ่งรับผิดชอบพื้นที่การชุมนุมแล้วแต่กรณี
ผู้ร้องเป็นผกก.สน.ดุสิต มายื่นคำร้องขอต่อศาล โดยไม่ปรากฏว่ามีการมอบอำนาจหรือได้รับมอบหมายจากผู้บังคับการหรือผู้บัญชาการตำรวจ แล้วแต่กรณี ตามมาตรา 19 วรรคสอง
ดังนั้นผู้ร้องจึงไม่อำนาจยื่นคำร้อง เรื่องอำนาจฟ้องร้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง