ผู้คุมหิ้ว “ไอ้เอ็ม” พ่อโหด ฆ่าลูกอำพรางศพกับเมียคนที่ 4 นอนคุก หลังศาลอนุญาติฝากขัง-ไร้ญาติประกันตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.บางเขนได้ นำตัว นายส่องศักดิ์ ส่งแสง อายุ 46 ปี พ่อใจโหดฆ่าลูกตัวเอง และ น.ส.สุนัน นาหัวนิล อายุ 40 ปี มาฝากขัง ครั้งแรก ข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายร่วมกันซ่อนเร้นย้ายทำลายศพเพื่อปิดบังการตาย เป็น ฝ.1406/2566
คำร้องระบุพฤติการณ์ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2566 เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตำรวจ สน. บางเขนและนายกันจอมพลังได้ร่วมเข้าไปช่วยเหลือเด็กที่ถูกบิดาทำร้ายร่างกายโดยได้ทำการช่วยเหลือเด็กหญิงจำนวนสองคน คือ ด.ญ.เอ อายุ 12 ปี และ ด.ญ. บี อายุ 4 ปี ออกมาอยู่ในความดูแลแต่ตรวจไม่พบ ด.ญ.มุก ซึ่งเป็นลูกสาวอีกคนจากการสืบสวนของทุกฝ่าย เชื่อว่า ผู้ต้องหาทั้งสองมีส่วนรู้เห็นกับการหายตัวไปของ ด.ญ.มุก จึงได้ทำการเชิญตัวทั้งสองมาสอบปากคำเบื้องต้นโดยผู้ต้องหาทั้งสองให้การในแนวทางเดียวกันว่านายส่องศักดิ์ได้ทำร้ายร่างกาย ด.ญ.มุก จนได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ได้พาไปพบแพทย์ จนกระทั่งเสียชีวิตจากนั้นได้ร่วมกันนำร่างของ ด.ญ.มุก ขึ้นรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้าแจ๊ซ ทะเบียน กท 5042 กำแพงเพชร เดินทางไปที่บ้านใน ต.บ่อถ้ำ อ.ขาณุวรลักษณ์ จ.กำแพงเพชร ระหว่างทางได้ซื้ออุปกรณ์ที่จะจัดการศพและฝั่งล่างพร้อมโบกปูนซีเมนต์ปิดทับไว้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการขุดพื้นในจุดที่ผู้ต้องหาทั้งสองชี้ว่าเป็นจุดซ่อนศพก็ได้พบกับร่างของเด็กหญิงมุกจริง
เหตุเกิดที่ อพาร์ตเมนต์ซอยพหลโยธิน 65 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพ ไปฝังศพที่ บ้าน ต.บ่อถ้ำ อ.ขาณุวรลักษณ์ จังหวัดกำแพงเพชร
การกระทำของผู้ต้องหาที่หนึ่งถึงสองเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 199, 290 วรรคหนึ่ง
ในชั้นจับกุมและสอบปากคำ ผู้ต้องหาที่ 1 รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 รับสารภาพ ในข้อกล่าวหาร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ หรือส่วนของศพ เพื่อปิดบังการเกิดการตาย หรือเหตุแห่งความตาย แต่ข้อกล่าวหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายนั้น ผู้ต้องหาที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ท้ายคำร้อง ทั้งพนักงานสอบสวน ผู้ร้อง และผู้เสียหาย ได้ขอคัดค้านการให้ประกันตัวด้วย เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงหากปล่อยตัวไปเกรงว่าจะหลบหนี และผู้เสียหายอาจได้รับอันตรายเนื่องจากผู้ต้องหาทราบที่อยู่ของผู้เสียหาย
และคำร้องฝากขัง หมายเลขดำ ฝ.1407/2566 กล่าวหา นายส่องศักดิ์ ผู้ต้องหา ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายสาหัส, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดฯ หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4), 309 ในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
โดยพฤติการณ์คดีนี้ สืบเนื่องจาก น.ส.เจษฎา ผู้กล่าวหาได้คบหากับนายส่องศักดิ์ ผู้ต้องหา และอยู่กินกันฉันสามีภรรยา ช่วงประมาณปี 2553 และมีบุตรด้วยกัน 5 คน ซึ่งก็ได้คบหาเรื่อยมา กระทั่งตั้งแต่ปี 2558 ผู้กล่าวหากับผู้ต้องหา พร้อมบุตรได้ย้ายมาพักอาศัยที่ซอยพหลโยธิน 50 แยก 11 แขวงคลองถนน เขตสายไหม กรุงเทพฯ จนถึงปี 2564 ซึ่งขณะที่พักอาศัยอยู่นั้น ผู้ต้องหามักจะทำร้ายร่างกายผู้กล่าวหา รวมถึงยังได้มีการใช้ไคขวงกับมีดลนไฟจนเหล็กสีแดง และนำมาทาบตามร่างกายของผู้กล่าวหาจนเกิดเป็นแผลพุพอง จำนวนหลายแผล และเป็นแผลเป็นตามร่างกาย โดยหากไม่ทำตามก็ข่มขู่ว่าทำร้ายร่างกายผู้กล่าวหา หรือบางครั้งก็ข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายให้ตาย จนกระทั่งประมาณปี 2564 ผู้กล่าวหาได้ย้ายมาพักที่อพาร์ตเมนต์ ซอยพหลโยธิน 48 แยก 11 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กับลูกของผู้กล่าวหา โดยแยกกันอยู่กับผู้ต้องหา แต่ผู้ต้องหาก็มาหาผู้กล่าวหาและลูกอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ต่อมาจนกระทั่งผู้ต้องหาก็กลับมามีพฤติกรรมแบบเดิม โดยได้บังคับให้ผู้กล่าวหาทำการถ่ายวิดีโอ โดยผู้กล่าวหาใช้โทรศัพท์มือถือถ่าย และส่งให้ผู้ต้องหาดู หากไม่ยอมทำตามผู้กล่าวหาและลูกจะถูกผู้ต้องหาทำร้ายร่างกาย และผู้ต้องหามักจะใช้ลูกของผู้กล่าวหาเป็นข้ออ้างในการบีบบังคับให้ทำการใช้ไขควงหรือมีดลนไฟมาทาบร่างกายตัวเองให้ผู้ต้องหาดู โดยผู้กล่าวหาอยู่ในภาวะจำยอมเนื่องจากเป็นห่วงลูกของตนเกรงว่าจะได้รับอันตราย
กระทั่งครั้งล่าสุดเมื่อประมาณวันที่ 7 ส.ค. 2566 เวลาประมาณ 18.00 น. ผู้ต้องหาได้บังคับให้ผู้กล่าวหาทำการถ่ายวิดีโอ โดยผู้กล่าวหาใช้โทรศัพท์มือถือถ่าย และให้ผู้กล่าวหานำมีดไปลนไฟและนำมาทาบที่น่องข้างขวาจนเกิดเป็นแผลพุพอง และให้ผู้กล่าวหาส่งให้ผู้ต้องหาดู โดยผู้ต้องหาขู่ เช่นเดิมว่าหากไม่ยอมทำตามผู้กล่าวหาและลูกจะถูกผู้ต้องหาทำร้ายร่างกาย อย่างรุนแรง การกระทำของผู้ต้องหาทำให้ผู้กล่าวหาได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสจึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบปรากฏว่า ตามร่างกายของผู้กล่าวหามีรอบแผลเป็นบนใบหน้า หัวไหล่ และน่องที่ขา ถือว่าเป็นแผลเป็นฉกรรจ์ตามร่างกายและหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว
ซึ่งการฝากขัง ทั้งพนักงานสอบสวน ผู้ร้อง และผู้เสียหาย ได้ขอคัดค้านการให้ประกันตัวด้วย เนื่องจากเกรงว่าหากปล่อยตัวไปแล้วจะหลบหนียากแก่การติดตามตัวมาภายหลัง และจะข่มขู่ผู้เสียหาย
ศาลอาญา อนุญาตให้ฝากขังตามคำร้องทั้ง 2 สำนวน ซึ่งผู้ต้องหาไม่ได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวในชั้นฝากขังนี้ จึงถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง