“วัชรินทร์ ภาณุรัตน์” รอง อธ.อัยการสอบสวน เรียกสำนวนตำรวจรีดเงิน 140 ล้าน มาตรวจสอบก่อนกำหนดเเนวทางสอบสวนคดี ชี้ หลังจากนี้ ตำรวจจะต้องรายงานการสอบสวนให้อัยการทราบ
เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน หัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวนเรียกประชุมคดีร่วมกับพนักงานสอบสวนชุดของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติ โดยมี นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวนในฐานะที่ปรึกษาเข้าร่วมประชุม ที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด
ในคดีที่ นายธนินวัฒน์ หรือ เป้ อุดมเชาวเศรษฐ์ กับพวกรวม 6 คน กล่าวหา พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประกากรณ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี กับพวกรวม 10 คน ผู้ต้องหาผู้ต้องหาในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด ในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ หรือยอมจะให้ตน หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น และร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย
โดย พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ รองผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติ ติดภารกิจ ไม่ได้เดินทางมา แต่มีทีมพนักงานสอบสวนร่วมกว่า 20 นายเข้าร่วมประชุม
ที่ประชุมทางคณะพนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวนได้อธิบายอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย มาตรา 31 ที่อัยการสูงสุดตั้งเข้ามา รวมถึงระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุดในการดำเนินการ ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่พนักงานอัยการจะต้องรู้สำนวนการสอบสวนทั้งหมด โดยขอให้ทางพนักงานสอบสวนชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งสำนวนการสอบสวนมาให้คณะพนักงานอัยการดู ให้ทำการตรวจสำนวน เพื่อกำกับดูเเลการสอบสวนได้ พร้อมตั้งทีมงานคณะพนักงานอัยการพิจารณาสำนวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งขณะนี้สำนวนที่พนักงานสอบสวนชุด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ดำเนินการสอบสวนได้ดำเนินการมาเเล้ว 2 ส่วน คือ คดีเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ เเละการเรียกรับเงิน ตามมาตรา 157 และ 149 ที่พนักงานสอบสวนได้นำส่ง ป.ป.ช.เเละ ป.ป.ช.ส่งกลับมาให้ดำเนินการต่อ ส่วนที่ 2 คือ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ใครจะต้องถูกเเจ้งข้อหาในความผิดนี้บ้าง ซึ่งทางพนักงานอัยการจะต้องพิจารณาภายหลังจากได้รับสำนวนการสอบสวนทั้งหมดของตำรวจมาก่อน ซึ่งทราบว่าตำรวจมีบัญชีพยานจำนวน 99 ปาก โดยคณะพนักงานอัยการจะต้องใช้ระยะเวลาอ่านสำนวนให้ละเอียดรอบคอบก่อน คาดว่า ภายในสัปดาห์ต่อไปภายหลังรับสำนวนทางพนักงานอัยการจะวางเเนวทางในการสอบสวนเพิ่มเติมได้ ซึ่งหลังจากนี้การสอบสวนเพิมเติมของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องรายงานมายังพนักงานอัยการที่ อสส.ตั้งขึ้นทั้งหมด ซึ่งวันที่ 1 ก.ย. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร.จะเดินทางมาประชุมร่วมกันกับคณะพนักงานอัยการชุดนายวัชรินทร์ หัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวนด้วยตนเอง