“สุเทพ-พวก” เฮ! รอดคุกศาลฎีกาฯ วินิจฉัยชั้นอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง คดีก่อสร้างโรงพักทดแทน-แฟลตตำรวจ 396 แห่ง รวมมูลค่าเกือบ 5.8 พันล้านบาท
วันนี้ (22 ส.ค.) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พร้อมพวก 6 คน ในคดีร่วมกันกระทำผิดต่อหน้าที่ราชการในการจัดจ้างโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน และโครงการก่อสร้างอาคารที่พัก หรือแฟลตตำรวจ จำนวน 396 แห่ง
โดยศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้องจำเลย ทั้ง 6 คน ซึ่งประกอบด้วย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ, พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ, พ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์, บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และ นายวิศณุ วิเศษสิงห์
ซึ่งองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์มีคำพิพากษาว่า ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยที่ 1กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องพิจารณาว่า มติคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2552 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์2552 ได้อนุมัติหลักการซึ่งรวมถึงวิธีการจัดจ้างโดยให้กระจายการจัดจ้างไปยังหน่วยงานในสังกัดในภูมิภาคด้วย อันมีผลผูกพันให้จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2548มาตรา 10 กำหนดว่า ให้หน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องกำหนดประเด็นที่ประสงค์จะให้คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ความเห็นชอบหรือมีมติในเรื่องใดให้ชัดเจน ถ้าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ความเห็นชอบ หรือมีมติในเรื่องที่เสนอ ให้ถือว่ามติคณะรัฐมนตรีมีผลผูกพันเฉพาะหลักการแห่งประเด็นที่เสนอ เว้นแต่มติของคณะรัฐมนตรีจะระบุไว้ชัดเจนถึงรายละเอียดที่อนุมัติ เห็นชอบ หรือมีมติ แสดงว่ารายละเอียดข้อใดที่มติคณะรัฐมนตรีไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนย่อมไม่ถือว่ามีผลผูกพัน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากมติคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2552แล้ว ไม่มีข้อความระบุอย่างชัดเจนถึงรายละเอียดในเรื่องวิธีการจัดซื้อจัดจ้างว่าจะต้องดำเนินการโดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค 1-9) ซึ่งได้ความจากนาย ส.และนาย ธ.อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เบิกความว่า มติคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2552 ไม่รวมการจัดซื้อจัดจ้าง พยานทั้งสองปากมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรีจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือส่วนข้อความในมติคณะรัฐมนตรีตอนถัดไปที่ว่า "...โดยให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ...นั้น ย่อมหมายถึงความเห็นที่อยู่ในหน้าที่ของสำนักงบประมาณเท่านั้น
นอกจากนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติมิได้ขออนุมัติในเรื่องวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง อันสอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2548 มาตรา 4 ประกอบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เลือกวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเองกรณีรับฟังได้ว่า มติคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2552 เป็นการอนุมัติเฉพาะประเด็นเรื่องงบประมาณ ไม่รวมถึงวิธีการจัดจ้าง จำเลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ตามที่โจทก์ฟ้อง กรณีเป็นอำนาจของจำเลยที่ 1 ที่จะใช้ดุลพินิจและตัดสินใจทบทวนได้ แม้จำเลยที่ 1 จะใช้เวลาพิจารณาเพียง 2 วันก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฎข้อพิรุธผิดปกติวิสัยส่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้าไปมีส่วนริเริ่มหรือใช้ให้เจ้าพนักงานเสนอความเห็นเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการจัดซื้อจัดจ้างไม่ว่าแบบใดต่างก็เลือกดำเนินการได้และมีชั้นตอนประกาศเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ประกอบการทั่วไปได้มีโอกาสเข้าแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมได้ ไม่อาจฟังตามที่โจทก์อ้างว่าการรวมการจัดจ้างไว้ที่ส่วนกลางจะทำให้ไม่มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เสมอไป ส่วนที่คณะกรรมการกำหนดราคากลางชุดใหม่ได้กำหนดราคากลางวงเงินจำนวน 6,388,000,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคากลางเดิมที่กำหนดจำนวน 6,100,538,900 บาท ก็ดี หรือผู้รับจ้างไม่สามารถดำเนินการก่สร้างตามโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายได้ก็ดี ล้วนแต่ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่ได้เข้าไปรับรู้หรือมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย จึงถือไม่ได้ว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ทั้งโจทก์มิได้ไต่สวนและฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการกระทำความผิดตามฟ้อง อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นปัญหาต่อไปว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2552 เป็นการอนุมัติเฉพาะประเด็นเรื่องงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้างจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ที่จะต้องดำเนินการไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ การขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเกิดจากข้อทักท้วงของผู้ปฏิบัติงานเองที่เสนอมาตามขั้นตอนปกติตั้งแต่ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะมีการมอบหมายงานตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 579/2552 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 แล้วโดยเฉพาะจำเลยที่ 2 มิได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างนั้นมาแต่แรก และข้อทักท้วงของเจ้าหน้าที่พัสดุข้อหนึ่งก็สอดคล้องกับที่กรมบัญชีกลางเคยมีหนังสือตอบข้อหารือระบว่า กรณีที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในครั้งเดียวกัน หากไม่มีเหตุผลประการใดที่ทำให้ส่วนราชการไม่สามารถดำเนินการในครั้งเดียวกันได้แล้ว ส่วนราชการต้องจัดซื้อหรือจัดจ้างในครั้งเดียวกัน และเมื่อพิจารณาต่อไปเห็นได้ว่า การขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างของจำเลยที่ นั้นยังคงใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยการประกวดราคาเช่นเดิม ซึ่งจำเลยที่ 1 เคยมีคำสั่งเห็นชอบมาก่อนแล้ว จำเลยที่ 2 คงเสนอขอเปลี่ยนแปลงจากการเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค 1 - 9) มาเป็นการเสนอราคาทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียวเท่านั้น
ซึ่งวิธีการเสนอราคาทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียวก็ได้เคยมีการศึกษาข้อดีข้อเสียกันมาแล้วตั้งแต่ในคราวก่อน กรณีจึงมีเหตุผลและข้อมูลที่จำเลยที่ 2 จะเสนอให้จำเลยที่ 1 ให้ความเห็นชอบเช่นเดิม นอกจากนั้น แม้จำเลยที่ 1 จะเห็นชอบแล้วก็ยังต้องมีขั้นตอนการประกาศประกวดราคาต่อไป ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฎว่าได้มีผู้เสนอราคาแข่งขันกัน 5ราย และแข่งขันสู้ราคากันถึง 73 ครั้ง ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 เสนอขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเพียงอย่างเดียวจึงยังไม่ถึงขั้นใกล้ชิดต่อผลสำเร็จในการกำหนดตัวผู้รับจ้างล่วงหน้าหรือกีดกันผู้เสนอราคารายอื่นได้ เมื่อจำเลยที่ 2 มีได้กระทำการอื่นใดนอกเหนือจากไปนี้อีก พยานหลักฐานจากการไต่สวนจึงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีผลประโยชน์แอบแฝงหรือเอื้อประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยมิชอบ ส่วนที่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าคณะกรรมการกำหนดราคากลางชุดใหม่ได้กำหนดราคากลางวงเงินสูงกว่าราคากลางเดิมนั้น ก็เป็นการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดราคากลางเอง และได้ความว่าเหตุที่ราคากลางสูงขึ้นเป็นผลมาจากมีการเปลี่ยนแปลงแบบแปลนก่อสร้าง ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะจำเลยที่ 5 ได้เสนอราคาต่ำกว่าราคากลางเดิม ราคากลางใหม่มิได้มีผลกระทบทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณเพิ่มขึ้นแต่อย่างใดส่วนที่ต่อมาผู้เสนอราคาไม่ดำเนินการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในขั้นตอนของการบริหารสัญญา ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นกรณีเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค 1 - 9) หรือเป็นกรณีเสนอราคาทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียวก็ตาม ย่อมไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นความเสียหายที่จำเลยที่ 2 คาดเห็นได้ว่าต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นกระทำความผิดตามฟ้องอุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทาง อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมรวมทั้งหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ) 1002/ว6 ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2532 เรื่อง การประเมินราคาในงานประกวดราคาจ้างก่อสร้าง มิได้มีข้อกำหนดโดยชัดแจ้งให้คณะกรรมการประกวดราคามีหน้าที่ต้องพิจารณารายละเอียดและราคาต่อหน่วยของวัสดุแต่ละ รายการที่ปรากฏในบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา สำหรับเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เลขที่ 15/2553 ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2553 แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการประกวดราคาจะพิจารณาจากราคารวมเป็นสำคัญ
คดีนี้เมื่อพิจารณาจากราคารวมแล้วปรากฎว่าจำเลยที่ 5 เสนอราคารวม เป็นเงิน5,848,000,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลาง จำนวน 540,000,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 8.45 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 5 เสนอราคาต่ำจนถึงขั้นคาดหมายได้ว่าจะไม่อาจดำเนินงานตามสัญญาได้ นอกจากนั้น โจทก์คงกล่าวหาว่าบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้าง ( BOQ) ของจำเลยที่ 5 มีรายการผิดปกติเพียงรายการเดียวคือ รายการเสาเข็มมีราคาต่ำ โดยจำเลยที่ 5 ยื่นเสนอราคาเสาเข็ม ราคาหน่วยละ 2,520 บาทซึ่งต่ำกว่าราคากลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่กำหนดราคาไว้หน่วยละ 6,360 บาท และต่ำกว่าราคาของกองดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ที่กำหนดราคาไว้หน่วยละ 8,050 บาท แต่ข้อนี้ได้ความว่าผู้เสนอราคาสามารถปรับลดราคาวัสดุที่ใช้ในการก่สร้างบางรายการลงได้ตามศักยภาพในการบริหารต้นทุนราคา และกำไรของผู้เสนอราคา เพียงแต่จะต้องอยู่ภายในกรอบวงเงินที่เสนอและได้รับการยืนราคาครั้งสุดท้าย จำเลยที่ 5 ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตเสาเข็มที่ใช้ในการก่อสร้างโครงการนี้ จึงมีเหตุที่จำเลยที่ 5จะปรับลดราคาในส่วนเสาเข็มตอกให้เหลือหน่วยละ 2,520 บาทได้ อันเป็นวิสัยของการเสนอราคาที่จะต้องแข่งขันกันอย่างเสรีตามความเป็นธรรมและความเหมาะสมแห่งสภาพวัสดุนั้น อีกทั้งค่างานเสาเข็มเป็นเงินทั้งสิ้น 233,089,387.50 บาท ซึ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับจ้างตามสัญญาจ้าง จำนวน5,848,000,000 บาท คิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณอัตราร้อยละ 3.98 ยิ่งสนับสนุนให้เห็นว่าลำพังเฉพาะราคาเสาเข็มรายการเดียวยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่ จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 จะต้องเสนอไม่รับราคารวมทั้งหมดของจำเลยที่ 5 มาเจรจาปรับราคาเพิ่มขึ้น แม้จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 จะมิได้นำเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้างเสนอให้คณะกรรมการประกวดราคาพิจารณา แต่ก็ไม่มีข้อพิรุธประการใดว่าจะเป็นการปกปิดเพื่อเอื้อประโยชน์แก่จำเลยที่ 5 ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 มีเจตุนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติหักค่าเสาเข็มได้น้อยกว่าราคาที่แท้จริงนั้น ไม่ปรากฏว่าโดยปกติทั่วไปผู้ประกอบการจะคำนึงถึงเรื่องนี้กันตั้งแต่ในชั้นยื่นเสนอราคา จึงไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 มีเจตนาวางแผนเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 5 นอกจากเรื่องราคาเสาเข็มดังกล่าวแล้วก็ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงใดแสดงให้เห็นว่ามีการกำหนดตัวจำเลยที่ 5 ไว้เป็นผู้รับจ้างล่วงหน้า หรือสมรู้ร่วมคิดกันกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่ 5 ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญาโดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันอย่างเป็นธรรม หรือสั่งการให้เลือกจำเลยที่ 5 เป็นผู้ชนะการเสนอราคาโดยเฉพาะเจาะจง อันจะเป็นเหตุให้ต้องยกเลิกการประกวดราคาแต่อย่างใด
พยานหลักฐานที่ไต่สวนมาฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำความผิดตามฟ้อง อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นปัญหาสุดท้ายว่า จำเลยที่ 5 และที่ 6 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้อง กล่าวหาว่า จำเลยที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 3 และ ที่ 4 ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10 และมาตรา 12ซึ่งการสนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 นั้นจะต้องมีผู้อื่นเป็นตัวการในการกระทำผิด หากเป็นกรณีที่ไม่มีตัวการกระทำผิดในความผิดดังกล่าว ผู้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในความผิดนั้น ก็ย่อมไม่มีความผิดในฐานเป็นผู้สนับสนุน เมื่อคดีนี้ได้วินิจฉัยแล้วว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำความผิดดังกล่าวกรณีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 5 และที่ 6 ในฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์และอุทธรณ์จำเลยที่ 2 อีกต่อไป เพราะไม่อาจทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปได้พิพากษายืน
ข่าวเกี่ยวเนื่อง
-ศาลฎีกาฯ ชี้ “สุเทพ” และพวก ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ ไม่ผิดคดีฮั้วประมูลสร้างโรงพัก เจ้าตัวลั่นบ้านเมืองมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศาลเป็นที่พึ่งได้(20 ก.ย.2565)