xs
xsm
sm
md
lg

องค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง “เทพเทือก”คดีก่อสร้างโรงพักทดแทน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี
องค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ พิพากษายืนยกฟ้อง “เทพ เทือก” กับพวก คดีฮั้วประมูลโครงการก่อสร้างโรงพักทดแทน-แฟลตตำรวจ


ที่ศาลฎีกา สนามหลวง เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 22 ส.ค.นี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อม.อธ.11/2565 ที่ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทน ผบ.ตร. พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ พ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์ บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด และนายวิศณุ วิเศษสิงห์ เป็นจำเลยที่ 1-6 ตามลำดับ กรณีร่วมกันฮั้วประมูลโครงการสร้างโรงพักทดแทนโครงการก่อสร้างอาคารที่พัก (แฟลตตำรวจ)

โดยป.ป.ช.โจทก์ยื่นฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 9 มิ.ย.2552-18 เม.ย.2556 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เปลี่ยนแปลงแนวทางจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง จากราคาภาคแยกสัญญามาเป็นการรวมจัดจ้างก่อสร้างไว้ที่ส่วนกลางสัญญาเดียว จำเลยที่ 5 เป็นผู้ชนะการประกวดราคา โดยจำเลยที่ 6 ยื่นเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาได้เสนอราคาต่ำอย่างผิดปกติ จำเลยที่ 3-4 ในฐานะคณะกรรมการประกวดราคาไม่ตรวจสอบราคาที่ผิดปกติดังกล่าว และได้นำเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคานั้นไปใช้ในการขออนุมัติจ้างและใช้ประกอบเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญา ต่อมา จำเลยที่ 5 ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาเป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำเลยที่ 3, 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10, 12 กับลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 20 ก.ย.65 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาเเล้วเห็นว่าจำเลยไม่มีความผิด ยกฟ้องจำเลยทั้ง6

ต่อมา ป.ป.ช.โจทก์ยื่นอุทธรณ์คดีต่อก่อนที่จะนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 22 ส.ค.นี้

วันนี้จำเลยทุกคนเดินทางมาศาลพร้อมทนายความ

นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของนายสุเทพ ซึ่งเดินทางมาศาลเปิดเผยว่า ชั้นอุทธรณ์ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นชั้นสุดท้ายแล้ว ส่วนความมั่นใจนั้นทั้งทีมทนายและนายสุเทพ ก็มั่นใจ ไม่มีความกังวล ไม่มีความตื่นตระหนก เพราะกระบวนการต่างๆ ได้ผ่นมาหมดแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ได้นำเสนอต่อศาลชั้นต้นไปหมดแล้วและได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ หลังรอคอย ป.ป.ช.สอบสวนมานานกว่า 10 ปี วันนี้ทุกอย่างจะเป็นไปตามกระบวนการ และในชั้นนี้ไม่มีการยื่นพยานเพิ่มเติมใดๆ เรายังคงเชื่อมั่นในความยุติธรรมตามที่ได้ต่อสู้มาตั้งแต่แรก วันนี้จึงถือว่าไม่มีอะไรพิเศษ เป็นเรื่องปกติที่ต้องมาตามกระบวนการของศาล และจากการประสานพูดคุยกับจำเลยทั้งหมด ก็ยืนยันว่าจำเลยจะมาครบทุกคน เพื่อไม่ให้เสียกระบวนกการนัดของศาล เว้นแต่จำเลยคนหนึ่งคนใดจะมีเหตุจำเป็นบางอย่างที่ไม่อาจก้าวล่วงได้ แต่ไม่มีการประวิงคดีแน่นอนสำหรับจำเลยในคดีนี้

นายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำกปปส. ที่เดินทางมาให้กำลังใจ กล่าวว่า อยากให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการต่อสู้และตรวจสอบของผม ทั้งเรื่องซุกหุ้น เรื่องการทุจริต การแก้ไขระเบียบทางการเงิน ช่วงที่มีการเลือกตั้งก็อภิปรายไม่ไว้วางใจ ในเมื่อวันนี้นาย ทักษิณ ชินวัตรเดินทางกลับเมืองไทย เพื่อปฏิบัติตัวในฐานะพลเมืองที่อยู่ภายใต้กฎหมาย และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตนก็เห็นด้วย

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายยกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในศาลฎีกาชั้นต้น ศาลมีคำพิพากษาว่าไม่มีความผิด ตามที่ ปปช. กล่าวอ้าง เดิมที เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญามีคำพิพากษา ถือว่าคดีความสิ้นสุดแต่ว่ามีการแก้กฎหมายให้สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ซึ่งวันนี้จะเป็นศาลสุดท้ายแล้ว ต้องรอฟังว่าคำพิพากษาของศาลจะเป็นอย่างไร ส่วนตัวไม่มีความกังวลและมั่นใจ เนื่องจากว่าต่อที่พวกตนออกมาเดินขบวน เพราะต่อต้านการคอรัปชั่น ยืนยันว่าไม่ประพฤติปฏิบัติอะไรที่เป็นการทุจริตคอรัปชั่นจากแน่นอน แต่หากผลการพิจารณาคดีเป็นอย่างไรก็นึกถึงคำพระอย่างเดียวว่า “ตถตา มันเป็นอย่างนั้นเอง”

นายสุเทพ ยังบอกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษที่นายทักษิณกลับบ้าน ก่อนหน้านี้มีคนไปถามตนเอง เยอะมากว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ซึ่งตนไม่ได้ให้ความเห็นเพราะไม่มั่นใจว่าจะกลับ แต่วันนี้ปรากฏว่านายทักษิณกลับมา ซึ่งตนคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่นายทักษิณคิดได้ ตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

“ผมกับคุณทักษิณอายุเท่ากัน เกิดปีเดียวกันเดือนเดียวกันห่างกัน 19 วัน เราก็ทำงานการเมืองเช่นเดียวกัน เพียงแต่ผมเคารพในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เคารพในอำนาจตุลาการ เคารพในระบบศาลยุติธรรม พวกผมเวลาถูกดำเนินคดี ข้อหาหนักกว่าคุณทักษิณ คุณทักษิณตอนนั้น ตอนที่คนเสื้อแดงโดนขบวนโดนข้อหาก่อการร้าย ซึ่งนายชัยเกษมเป็นคนสั่งให้ฟ้อง ส่วนตนและพวกก็โดนฟ้องไปนอนคุกมาแล้ว เราเลือกที่จะปฏิบัติตามระบบเคารพกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสิ่งที่พูดนี้ไม่ได้เป็นการไปยกตนข่มท่าน เพียงแต่จะบอกกับคุณทักษิณว่าคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจกลับมาประเทศไทย และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผมไม่มีความโกรธเคืองชิงชัง เป็นการส่วนตัว

เพียงแต่ผมและพี่น้องประชาชน กปปส.ในคราวนั้น มองว่าคุณทักษิณใช้อำนาจโดยมิชอบ ด้วยกฏหมายและมีการทุจริตคอรัปชั่น เราจึงได้มาต่อต้านทำหน้าที่ของประชาชน จากที่พวกตนออกมาเดินขบวนต่อต้านระบอบทักษิณเพราะเห็นว่าระบอบทักษิณไม่เคารพระบบประชาธิปไตยหรือไม่เคารพหลักการที่แท้จริงของระบบประชาธิปไตย” นายสุเทพกล่าว

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า วันนี้คงไม่ได้เจอกับนายทักษิณที่ศาลเพราะว่ามีการแยกห้องกัน แต่ถึงไม่เจอก็ถือโอกาสนี้ในการบอกนายทักษิณว่านายทักษิณคิดถูกแล้วที่เคารพระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเคารพกระบวนการยุติธรรม

“ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข มีเงินเป็นแสนล้าน หรือล้านๆ ก็ไม่มีความสุข” นายสุเทพกล่าว

เมื่อถามว่าบางกระแสจับตามองว่านายทักษิณ
อาจไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมแต่เชื่อมั่นในขั้วอำนาจที่จะมาอยู่ในมือของตัวเอง จึงกลับมาในช่วงนี้ นายสุเทพ กล่าวว่า เราเห็นสถานการณ์ของประเทศในช่วงนี้ ตนมองว่าทุกฝ่ายพยายามมองโลกในแง่ดี มองสถานการณ์ตามความเป็นจริงส่วนความเป็นจริงอะไรจะเกิดขึ้นเป็นหน้าที่ของ พวกเราคนไทยที่ต้องแก้ไข

นายสุเทพ ยังกล่าวว่า วันนี้ตนก็มองในแง่ดีว่าคุณทักษิณหลังจากที่หนีคดีไปเกือบ 20 ปี แล้วตัดสินใจกลับมา ยืนยันคำเดิมว่าคุณทักษิณคิดถูก ส่วนตัวไม่มีความสงสัยว่าคุณทักษิณกลับมาเพราะเหตุผลอะไร แต่ว่าถ้าคุณทักษิณมาแล้วระบอบทักษิณฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก คงจะมีประชาชนที่ออกมาทำหน้าที่ เหมือนที่ตนทำก่อนหน้านี้

เมื่อถามว่า การรวมตัวกันในยุคปัจจุบันมีทั้งเหลืองและแดงรวมกัน มองอย่างไร ประเด็นนี้นายสุเทพ กล่าวว่า อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวคนในประเทศไทยต่างคนต่างคิดต่างคนต่างมีความคิดซึ่งแตกต่างกันได้ แต่ว่าทุกฝ่ายก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศ

“ผมไม่เคยคิดถึงคนเสื้อสีแดงหรือคนเสื้อสีส้มมันต้องเป็นศัตรูกับพวกผม ตอนที่ผมอยู่บนเวที กปปส. ก็ปราศรัยชัด ชวนทุกวัน ว่ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาของประเทศ"

ต่อมาองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์มีคำพิพากษาว่า ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยที่ 1กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องพิจารณาว่า มติคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2552 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์2552 ได้อนุมัติหลักการซึ่งรวมถึงวิธีการจัดจ้างโดยให้กระจายการจัดจ้างไปยังหน่วยงานในสังกัดในภูมิภาคด้วย อันมีผลผูกพันให้จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2548มาตรา 10 กำหนดว่า ให้หน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องกำหนดประเด็นที่ประสงค์จะให้คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ความเห็นชอบหรือมีมติในเรื่องใดให้ชัดเจน ถ้าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ความเห็นชอบ หรือมีมติในเรื่องที่เสนอ ให้ถือว่ามติคณะรัฐมนตรีมีผลผูกพันเฉพาะหลักการแห่งประเด็นที่เสนอ เว้นแต่มติของคณะรัฐมนตรีจะระบุไว้ชัดเจนถึงรายละเอียดที่อนุมัติ เห็นชอบ หรือมีมติ แสดงว่ารายละเอียดข้อใดที่มติคณะรัฐมนตรีไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนย่อมไม่ถือว่ามีผลผูกพัน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากมติคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2552แล้ว ไม่มีข้อความระบุอย่างชัดเจนถึงรายละเอียดในเรื่องวิธีการจัดซื้อจัดจ้างว่าจะต้องดำเนินการโดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค 1-9) ซึ่งได้ความจากนาย ส.และนาย ธ.อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เบิกความว่า มติคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2552 ไม่รวมการจัดซื้อจัดจ้าง พยานทั้งสองปากมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรีจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือส่วนข้อความในมติคณะรัฐมนตรีตอนถัดไปที่ว่า "...โดยให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ...นั้น ย่อมหมายถึงความเห็นที่อยู่ในหน้าที่ของสำนักงบประมาณเท่านั้น

นอกจากนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติมิได้ขออนุมัติในเรื่องวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง อันสอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2548 มาตรา 4 ประกอบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เลือกวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเองกรณีรับฟังได้ว่า มติคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2552 เป็นการอนุมัติเฉพาะประเด็นเรื่องงบประมาณ ไม่รวมถึงวิธีการจัดจ้าง จำเลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ตามที่โจทก์ฟ้อง กรณีเป็นอำนาจของจำเลยที่ 1 ที่จะใช้ดุลพินิจและตัดสินใจทบทวนได้ แม้จำเลยที่ 1 จะใช้เวลาพิจารณาเพียง 2 วันก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฎข้อพิรุธผิดปกติวิสัยส่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้าไปมีส่วนริเริ่มหรือใช้ให้เจ้าพนักงานเสนอความเห็นเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการจัดซื้อจัดจ้างไม่ว่าแบบใดต่างก็เลือกดำเนินการได้และมีชั้นตอนประกาศเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ประกอบการทั่วไปได้มีโอกาสเข้าแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมได้ ไม่อาจฟังตามที่โจทก์อ้างว่าการรวมการจัดจ้างไว้ที่ส่วนกลางจะทำให้ไม่มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เสมอไป ส่วนที่คณะกรรมการกำหนดราคากลางชุดใหม่ได้กำหนดราคากลางวงเงินจำนวน 6,388,000,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคากลางเดิมที่กำหนดจำนวน 6,100,538,900 บาท ก็ดี หรือผู้รับจ้างไม่สามารถดำเนินการก่สร้างตามโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายได้ก็ดี ล้วนแต่ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่ได้เข้าไปรับรู้หรือมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย จึงถือไม่ได้ว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ทั้งโจทก์มิได้ไต่สวนและฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการกระทำความผิดตามฟ้อง อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นปัญหาต่อไปว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2552 เป็นการอนุมัติเฉพาะประเด็นเรื่องงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้างจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ที่จะต้องดำเนินการไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ การขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเกิดจากข้อทักท้วงของผู้ปฏิบัติงานเองที่เสนอมาตามขั้นตอนปกติตั้งแต่ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะมีการมอบหมายงานตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 579/2552 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 แล้วโดยเฉพาะจำเลยที่ 2 มิได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างนั้นมาแต่แรก และข้อทักท้วงของเจ้าหน้าที่พัสดุข้อหนึ่งก็สอดคล้องกับที่กรมบัญชีกลางเคยมีหนังสือตอบข้อหารือระบว่า กรณีที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในครั้งเดียวกัน หากไม่มีเหตุผลประการใดที่ทำให้ส่วนราชการไม่สามารถดำเนินการในครั้งเดียวกันได้แล้ว ส่วนราชการต้องจัดซื้อหรือจัดจ้างในครั้งเดียวกัน และเมื่อพิจารณาต่อไปเห็นได้ว่า การขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างของจำเลยที่ นั้นยังคงใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยการประกวดราคาเช่นเดิม ซึ่งจำเลยที่ 1 เคยมีคำสั่งเห็นชอบมาก่อนแล้ว จำเลยที่ 2 คงเสนอขอเปลี่ยนแปลงจากการเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค 1 - 9) มาเป็นการเสนอราคาทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียวเท่านั้น

ซึ่งวิธีการเสนอราคาทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียวก็ได้เคยมีการศึกษาข้อดีข้อเสียกันมาแล้วตั้งแต่ในคราวก่อน กรณีจึงมีเหตุผลและข้อมูลที่จำเลยที่ 2 จะเสนอให้จำเลยที่ 1 ให้ความเห็นชอบเช่นเดิม นอกจากนั้น แม้จำเลยที่ 1 จะเห็นชอบแล้วก็ยังต้องมีขั้นตอนการประกาศประกวดราคาต่อไป ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฎว่าได้มีผู้เสนอราคาแข่งขันกัน 5ราย และแข่งขันสู้ราคากันถึง 73 ครั้ง ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 เสนอขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเพียงอย่างเดียวจึงยังไม่ถึงขั้นใกล้ชิดต่อผลสำเร็จในการกำหนดตัวผู้รับจ้างล่วงหน้าหรือกีดกันผู้เสนอราคารายอื่นได้ เมื่อจำเลยที่ 2 มีได้กระทำการอื่นใดนอกเหนือจากไปนี้อีก พยานหลักฐานจากการไต่สวนจึงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีผลประโยชน์แอบแฝงหรือเอื้อประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยมิชอบ ส่วนที่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าคณะกรรมการกำหนดราคากลางชุดใหม่ได้กำหนดราคากลางวงเงินสูงกว่าราคากลางเดิมนั้น ก็เป็นการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดราคากลางเอง และได้ความว่าเหตุที่ราคากลางสูงขึ้นเป็นผลมาจากมีการเปลี่ยนแปลงแบบแปลนก่อสร้าง ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะจำเลยที่ 5 ได้เสนอราคาต่ำกว่าราคากลางเดิม ราคากลางใหม่มิได้มีผลกระทบทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณเพิ่มขึ้นแต่อย่างใดส่วนที่ต่อมาผู้เสนอราคาไม่ดำเนินการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในขั้นตอนของการบริหารสัญญา ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นกรณีเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค 1 - 9) หรือเป็นกรณีเสนอราคาทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียวก็ตาม ย่อมไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นความเสียหายที่จำเลยที่ 2 คาดเห็นได้ว่าต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นกระทำความผิดตามฟ้องอุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทาง อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมรวมทั้งหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ) 1002/ว6 ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2532 เรื่อง การประเมินราคาในงานประกวดราคาจ้างก่อสร้าง มิได้มีข้อกำหนดโดยชัดแจ้งให้คณะกรรมการประกวดราคามีหน้าที่ต้องพิจารณารายละเอียดและราคาต่อหน่วยของวัสดุแต่ละ รายการที่ปรากฏในบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา สำหรับเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เลขที่ 15/2553 ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2553 แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการประกวดราคาจะพิจารณาจากราคารวมเป็นสำคัญ

คดีนี้เมื่อพิจารณาจากราคารวมแล้วปรากฎว่าจำเลยที่ 5 เสนอราคารวม เป็นเงิน5,848,000,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลาง จำนวน 540,000,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 8.45 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 5 เสนอราคาต่ำจนถึงขั้นคาดหมายได้ว่าจะไม่อาจดำเนินงานตามสัญญาได้ นอกจากนั้น โจทก์คงกล่าวหาว่าบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้าง ( BOQ) ของจำเลยที่ 5 มีรายการผิดปกติเพียงรายการเดียวคือ รายการเสาเข็มมีราคาต่ำ โดยจำเลยที่ 5 ยื่นเสนอราคาเสาเข็ม ราคาหน่วยละ 2,520 บาทซึ่งต่ำกว่าราคากลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่กำหนดราคาไว้หน่วยละ 6,360 บาท และต่ำกว่าราคาของกองดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ที่กำหนดราคาไว้หน่วยละ 8,050 บาท แต่ข้อนี้ได้ความว่าผู้เสนอราคาสามารถปรับลดราคาวัสดุที่ใช้ในการก่สร้างบางรายการลงได้ตามศักยภาพในการบริหารต้นทุนราคา และกำไรของผู้เสนอราคา เพียงแต่จะต้องอยู่ภายในกรอบวงเงินที่เสนอและได้รับการยืนราคาครั้งสุดท้าย จำเลยที่ 5 ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตเสาเข็มที่ใช้ในการก่อสร้างโครงการนี้ จึงมีเหตุที่จำเลยที่ 5จะปรับลดราคาในส่วนเสาเข็มตอกให้เหลือหน่วยละ 2,520 บาทได้ อันเป็นวิสัยของการเสนอราคาที่จะต้องแข่งขันกันอย่างเสรีตามความเป็นธรรมและความเหมาะสมแห่งสภาพวัสดุนั้น อีกทั้งค่างานเสาเข็มเป็นเงินทั้งสิ้น 233,089,387.50 บาท ซึ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับจ้างตามสัญญาจ้าง จำนวน5,848,000,000 บาท คิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณอัตราร้อยละ 3.98 ยิ่งสนับสนุนให้เห็นว่าลำพังเฉพาะราคาเสาเข็มรายการเดียวยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่ จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 จะต้องเสนอไม่รับราคารวมทั้งหมดของจำเลยที่ 5 มาเจรจาปรับราคาเพิ่มขึ้น แม้จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 จะมิได้นำเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้างเสนอให้คณะกรรมการประกวดราคาพิจารณา แต่ก็ไม่มีข้อพิรุธประการใดว่าจะเป็นการปกปิดเพื่อเอื้อประโยชน์แก่จำเลยที่ 5 ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 มีเจตุนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติหักค่าเสาเข็มได้น้อยกว่าราคาที่แท้จริงนั้น ไม่ปรากฏว่าโดยปกติทั่วไปผู้ประกอบการจะคำนึงถึงเรื่องนี้กันตั้งแต่ในชั้นยื่นเสนอราคา จึงไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 มีเจตนาวางแผนเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 5 นอกจากเรื่องราคาเสาเข็มดังกล่าวแล้วก็ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงใดแสดงให้เห็นว่ามีการกำหนดตัวจำเลยที่ 5 ไว้เป็นผู้รับจ้างล่วงหน้า หรือสมรู้ร่วมคิดกันกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่ 5 ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญาโดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันอย่างเป็นธรรม หรือสั่งการให้เลือกจำเลยที่ 5 เป็นผู้ชนะการเสนอราคาโดยเฉพาะเจาะจง อันจะเป็นเหตุให้ต้องยกเลิกการประกวดราคาแต่อย่างใด

พยานหลักฐานที่ไต่สวนมาฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำความผิดตามฟ้อง อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นปัญหาสุดท้ายว่า จำเลยที่ 5 และที่ 6 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้อง กล่าวหาว่า จำเลยที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 3 และ ที่ 4 ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10 และมาตรา 12ซึ่งการสนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 นั้นจะต้องมีผู้อื่นเป็นตัวการในการกระทำผิด หากเป็นกรณีที่ไม่มีตัวการกระทำผิดในความผิดดังกล่าว ผู้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในความผิดนั้น ก็ย่อมไม่มีความผิดในฐานเป็นผู้สนับสนุน เมื่อคดีนี้ได้วินิจฉัยแล้วว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำความผิดดังกล่าวกรณีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 5 และที่ 6 ในฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์และอุทธรณ์จำเลยที่ 2 อีกต่อไป เพราะไม่อาจทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปได้พิพากษายืน
กำลังโหลดความคิดเห็น