xs
xsm
sm
md
lg

เปิดลับเส้นทาง แก๊งค้ากระสุนสงคราม จากคลังทัพเรือสู่ตลาดมืด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



รายการ “ถอนหมุดข่าว” เผยแพร่ทางแอปพลิเคชั่น SONDHI APPสถานีโทรทัศน์ NEWS1 ช่องยูทูป NEWS1 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ NEWS1 วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2566 นำเสนอรายงานพิเศษ เปิดลับเส้นทาง แก๊งค้ากระสุนสงคราม จากคลังทัพเรือสู่ตลาดมืด



กองทัพเรือตกเป็นข่าวฉาวโฉ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเพจดังเปิด “เอกสารหลุด” ของกองทัพเรือซึ่งเป็นกระดาษเขียนข่าวโทรเลข จากกองพลนาวิกโยธิน ถึงกองทัพเรือ หลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ (ศปก.ทร.) ในเช้าวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 และมีการรายงานผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ไปยังห้องประชุม ศปก.ทร. แจ้งเหตุการณ์ตรวจพบ กระสุนหายจากคลังสรรพาวุธ ในหน่วยกำลังรบหลักของนาวิกโยธิน สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคน ที่ร่วมการประชุมในวันนั้น

ต่อมากองพลนาวิกโยธิน ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า จึงได้ออกโทรเลขด่วน โดยเป็นการรายงานตามแบบฟอร์มที่กำหนดไว้

จนกระทั่งเอกสารดังกล่าวหลุดไปถึงมือคนภายนอก

ก่อนที่จะมีผู้หวังดีส่งต่อไปยังเพจดังเพื่อให้ตีแผ่เรื่องดังกล่าว จนเป็นที่รับรู้ของสาธารณชนและโฆษกกองทัพเรือ พล.ร.อ.ปกครอง มนต์ธาตุพลิน ออกมาชี้แจงในบ่ายวันที่ 15 กรกฎาคม โดยยืนยันว่า กองทัพเรือทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด ทั้งนี้เนื้อหาบางส่วนในคำแถลงของโฆษกก็คือ

“ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อเอาผิดกรณีอมภัณฑ์หายจากคลังและจะดำเนินการจนถึงที่สุด”

กรณีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นอีกเรื่องที่ทำลายความน่าเชื่อถือและกระทบต่อชื่อเสียงของกองทัพเรืออย่างยิ่ง และก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ยุทโธปกรณ์หายไปจากคลังแสงของกองทัพเรือ เพราะก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายน 2564 ได้เกิดเหตุปืนยิงลูกระเบิดกล ขนาด 40 มิลลิเมตร รุ่นมาร์ค 20 ม็อด 0 ซึ่งเป็นอาวุธประจำเรือที่ติดตั้งกับเรือตรวจการณ์ลำน้ำของกองทัพเรือ สูญหายไปจากคลังปืนใหญ่ กรมสรรพาวุธทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จำนวน 2 กระบอก

ซึ่ง พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ ในขณะนั้นก็เคยออกมาแถลงยอมรับ แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบกริบไม่มีการเปิดเผยผลสอบสวนแต่อย่างใดว่า ใครในกรมสรรพาวุธ คือผู้ที่จะต้องรับผิดชอบ

สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ มีข้อมูลมาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า กระสุนที่สูญหายไปนั้นเก็บอยู่ใน “คลังรวม” ของกองพลนาวิกโยธิน ซึ่งอาวุธและกระสุนของทุกกองพันจะถูกเก็บไว้ที่คลังรวมแห่งนี้ และเนื่องจากเป็นคลังใหญ่ระดับกองพล จำนวนกระสุนประเภทต่างๆ จึงมีจำนวนมาก

แต่ด้วยความหละหลวมของระบบรักษาความปลอดภัย ทำให้เจ้าหน้าที่สรรพาวุธของหน่วยยศพันจ่าโท ซึ่งมีเพียงคนเดียวสามารถเปิดคลังได้ตลอดเวลาที่ต้องการ โดยทหารยามที่รักษาการณ์อยู่หน้าคลังมิได้ระแวงสงสัย หรือรู้สึกผิดสังเกต ที่เจ้าหน้าที่ยศพันจ่าโทคนดังกล่าว เข้ามาเปิดคลังเพื่อนำอาวุธและกระสุนออกมา ในลักษณะการเบิกจ่ายตามปกติ เหมือนกับนำไปเพื่อการฝึก หรือส่งมอบให้กองพันต่างๆ เพื่อใช้ปฏิบัติภารกิจ

ยิ่งไปกว่านั้นภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดไว้หน้าคลัง ยังแสดงให้เห็นเหตุการณ์ขณะที่เจ้าหน้าที่ยศ “พันจ่าโท” สั่งการให้พลทหารที่เข้าเวรรักษาการณ์ ช่วยลำเลียงกระสุนออกจากคลังไปยังพาหนะที่นำมาจอดไว้อีกด้วย

สำหรับวิธีการปกปิด หรือการซื้อเวลา ให้ตรวจพบว่ากระสุนหายเนิ่นนานที่สุด เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคนร้าย ใช้วิธีนำกระสุนออกจากกล่อง แล้วนำกล่องเปล่าไปไว้ด้านใน จากนั้นจึงนำกล่องที่มีกระสุนเก็บไว้มาจัดวางไว้ด้านหน้า เพื่อให้การสุ่มตรวจประจำวัน หรือประจำสัปดาห์ซึ่งกระทำเป็นการภายในไม่พบความผิดปกติที่เกิดขึ้น

จนกระทั่งเมื่อถึงวงรอบใหญ่ ที่มีการตรวจโดยเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพาวุธทหารเรือ ซึ่งเป็นหน่วยจัดซื้อยุทโธปกรณ์ และกระสุน ตลอดจนวัตถุระเบิดทุกชนิดให้กับหน่วยรบของกองทัพเรือ กล่องกระสุนเปล่าที่อยู่ด้านในจึงถูกตรวจพบ ทำให้ทราบถึงพฤติกรรมของคนร้ายยศพันจ่าโทดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้ตั้งข้อสังเกตหลายประการ อาทิจำนวนกระสุนที่ขาดหายไปเป็นจำนวนจริง หรือมีความเป็นไปได้ หรือไม่ที่กระสุนขาดบัญชีอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่ในการจัดซื้อและส่งมอบโดยกรมสรรพาวุธทหารเรือ ที่สำคัญที่สุดคือ “ตลาด” ที่รับซื้อกระสุนอยู่ที่ไหน และมีผู้บงการรู้เห็นที่ใหญ่กว่าพันจ่าโท หรือไม่?

เพราะจากรายชื่อของชนิดกระสุนที่หายไปนั้น ทำให้คาดเดาได้ว่า ผู้ซื้อไม่น่าจะใช่ปุถุชนคนธรรมดา เพราะ CTG 5.56 mm นั่นคือ กระสุนขนาด 5.56 มม. เป็นกระสุนที่ใช้กับอาวุธปืนสงครามตระกูลเอ็ม-16 ซึ่งไม่อนุญาตให้พลเรือนครอบครอง

ยิ่งไปกว่านั้น CTG 40 mm HE ก็คือ ลูกระเบิดขนาด 40 มม. ที่ใช้ทำลายเป้าหมายด้วยสะเก็ดระเบิดและแรงระเบิด มีระยะการยิง 400 เมตร ใช้ได้ทั้งกับเครื่องยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 และเอ็ม 203 ซึ่งผู้ที่มีปืนสงครามและเครื่องยิงลูกระเบิดชนิดนี้ใช้ รวมทั้งมีความต้องการซื้อจำนวนมากขนาดนี้ ก็มีเพียงไม่กี่กลุ่ม ซึ่งน่าจะอยู่แถวๆ ทิศตะวันตกของประเทศ

ทีนี้ก็คงพอจะมองเห็นภาพลางๆ ของผู้ซื้อแล้วว่า น่าจะเป็นใคร แต่คำถามที่ตามมาก็คือ พันจ่าโท นายนี้ไปสร้างเครือข่ายติดต่อกับ “ลูกค้า” ในตอนไหน เพราะการจะติดต่อกับผู้ซื้อของ “ร้อน” จำนวนมากขนาดนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แบบการเข้าไปขาย “เครื่องกรองน้ำ” ตามคอนโดฯ

เพราะของร้อนแบบนี้ ต้องอาศัยเส้นสายและความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้ซื้อเป็นอย่างมาก ลำพังแค่พันจ่าโทที่มีอายุราชการไม่กี่ปี ไม่น่าจะสามารถ “ดีล” อะไรได้ใหญ่ขนาดนี้

อีกประเด็นหนึ่งที่แม้จะมีความเป็นไปได้น้อย ถึงน้อยมาก แต่ก็ไม่ควรมองข้ามนั่นคือ ข้อสงสัยที่ว่ากระสุนที่หายไปบางส่วน อาจถูกแบ่งขายให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้หรือไม่

เพราะต้องไม่ลืมว่า กำลังพลส่วนหนึ่งของกองพลนาวิกโยธินเป็นกำลังพลที่ย้ายกลับมาจาก “หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้” ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ ณ ค่ายจุฬาภรณ์ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งการทำงานของหน่วยเฉพาะกิจ ต้องติดต่อกับ “สายข่าว” ที่เป็นแนวร่วมของฝ่ายตรงข้าม จนมีความไว้ใจกันในระดับหนึ่ง เพราะต้องพึ่งพากันทั้งในด้านมืดและด้านสว่าง

เมื่อกำลังพลจากหน่วยเฉพาะกิจ ทั้งในระดับล่างและระดับผู้บังคับบัญชา ย้ายกลับมายังที่ตั้งปกติในกองพลนาวิกโยธิน สายสัมพันธ์นั้นอาจจะยังดำรงอยู่และสามารถนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ในทุกกรณี ทั้งในเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องธุรกิจมืด หากคนใดคนหนึ่งเห็นผิดเป็นชอบ

ซึ่งประเด็นนี้ หากเกิดขึ้นจริง คนทำก็ต้องเป็นผู้ที่อำมหิตอย่างยิ่ง ที่หิวเงินจนกล้าขายกระสุนให้ฝ่ายตรงข้ามนำมาประหัตประหารเพื่อนนาวิกโยธินด้วยกัน

แน่นอนว่า ผู้ที่จะคลี่ปมปริศนาเหล่านี้ได้ดีที่สุด ก็คือ “พันจ่าโท” ผู้ก่อเหตุซึ่งทั้งกองทัพเรือและเจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังเร่งแกะรอยติดตามเส้นทางการหลบหนีด้วยความวิตกกังวลว่า อาจจะถูก “ตัดตอน” เพื่อปิดปาก ทำให้ไม่สามารถสาวไปถึงกระบวนการซื้อขายค้ากระสุนและผู้บงการชั้นเหนือกว่า

แม้จนถึงวันนี้กองทัพเรือจะยังไม่ออกมาแถลงถึงจำนวนที่แน่ชัดของกระสุนปืนที่หายไป แต่แหล่งข่าววงในระบุว่า จำนวนที่สูญหายมีตัวเลขสูงกว่าที่ปรากฏเป็นข่าวหลายเท่า

นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องฉาวของกองทัพเรือในยุคปลายผบ.ทร. ที่ชื่อ บิ๊กจอร์จ พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ซึ่งจะต้องสะสางให้จบก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้

-------------------

**หมายเหตุ
ดาวโหลดแอป Sondhi App ได้แล้ว
ระบบ iOS ไปที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647
ระบบ android ไปที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android

สมัครสมาชิกได้แล้ววันนี้
รายเดือนเพียง เดือนละ 99 บาท
รายปี 990 บาท (10 เดือน แถม 2 เดือน )

ถ้ามีปัญหาการใช้งาน app หรือการสมัครสมาชิกใน app ติดต่อสอบถามได้ที่ Line id : @sondhitalk หรือ https://lin.ee/Skns1k1


กำลังโหลดความคิดเห็น