รอง ผบ.ตร.เผยคืบหน้าสำนวนคดีรีดทรัพย์ผู้ต้องหาเว็บพนัน 140 ล้าน ออกหมายจับตำรวจเพิ่มกว่า 20 นาย พลเรือนอีก 10 คน
วันนี้ (8 ก.ค.) ที่สโมสรตำรวจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.เปิดเผยความคืบหน้าสำนวนคดีตำรวจรีดเงินผู้ต้องหาเว็บพนันออนไลน์ 140 ล้านบาท ว่า ทางคณะพนักงานสอบสวนได้มีการทำสำนวนการสอบสวนโดยเริ่มเก็บรายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวจนเกือบทั้งหมดแล้ว เมื่อวันที่ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา ทางพนักงานสอบสวนสภ.คูคต ได้ขอศาลออกหมายจับตำรวจพัทยา โดยทางนายตำรวจดังกล่าวได้ให้ทนายมอบตัวกลางดึกกับพนักงานสอบสวนแล้ว เดิมให้ผกก.สภ.เมืองพัทยาเรียกมาสอบสวนในฐานะพยาน แต่ก็ไม่ยอมมาจนสุดท้ายต้องขอศาลอกหมายจับในความผิดร่วมกันก่อเหตุ โดยที่เรียกมาสอบในคราวแรกเพื่อต้องการหาข้อเท็จจริง เนื่องจากเห็นความเชื่อมโยงแล้วว่าเป็นอย่างไร เมื่อออกหมายเรียกมาสอบปากคำแต่ไม่ได้มาจึงมีการขอศาลออกหมายจับดังกล่าว ทั้งนี้ได้มีการดำเนินการออกหมายจับตำรวจแล้วกว่า 20 นาย และพลเรือนเกือบ 10 คน คาดว่าจากนี้ 2 สัปดาห์จะเก็บรวบรวมข้อมูลได้ทั้งหมด
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า ทั้งนี้จะนำข้อมูลการสืบสวนไปใส่ไว้ในสำนวนการสอบสวน ถือว่าคดีดังกล่าวไม่ซับซ้อนเท่าคดีแอมไซยาไนด์ที่เกิดตั้งแต่ปี 2558 ที่ผ่านมา ผบ.ตร.ได้สั่งการกำชับให้ดำเนินการอย่างไปตรงไปตรงมา กรณีดังกล่าวเป็นการขอออกหมายจับตำรวจจับตำรวจ และตำรวจที่ร่วมมือกับคนภายนอกกระทำความผิด ยืนยันว่าไม่เป็นคู่ขัดแย้งหรือเป็นศัตรูกับใคร ใครก็สามารถวิจารณ์ได้หมด แต่ต้องทำให้เห็นว่าถ้าลูกน้องกระทำความผิด เราจะไม่ส่งเสริมและไม่ปกป้อง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ในเรื่องการขอหมายจับต่อศาลโดยทำหลักฐานเท็จแล้วออกหมายจับไปหากิน หายไม่ทำความจริงให้ปรากฎต่อไปตำรวจอีกกว่า 2 แสนคนที่อยากทำงานจะขอหมายศาลยาก อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมเดิมที่จับกุมผู้เสียหายเพื่อรีดเงินนั้น โดยนิสัยตนไม่ชอนไชหรือจับผิดลูกน้องทุกเรื่องมันมีเหตุทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตม. จากกรณีตู้ห่าว ทุกอย่างมีเหตุมีตัวผู้เสียหาย เข่นเดียวกันกับเรื่องนี้ทุกอย่างมีเหตุมาก่อน แต่กรณีนี้ผู้เสียหายเป็นผู้ต้องหาจัดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์มาก่อน หน้าที่ตำรวจต้องจับไม่ใช่ไปต่อรองแล้วเรียกรับเอาเงินเขา เพราะฉะนั้นตำรวจมีเส้นแบ่งบางๆ หากเลยจากเส้นแบ่งบางๆ ก็กลายเป็นโจร เมื่อไหร่เป็นโจรก็ต้องจับกัน
ส่วนการที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ดำเนินคดีผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กับตนเองนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นการตรวจสอบ ยิ่งดีที่มีคนมาตรวจสอบแสดงให้เห็นว่าตนเองทำงานเป็นมืออาชีพมากแค่ไหน ซึ่งทางตำรวจดำเนินการร่วมกับทางอัยการมาเข้าร่วม ยืนยันว่าไม่มีทางบิดพริ้วข้อเท็จจริงได้เลย โดยมีการหารือร่วมกับอธิบดีอัยการมาแล้ว 2 ครั้งรวมถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่โดยหลักทางตำรวจต้องทำอย่างโปร่งใส ทุกคนตรวจสอบได้หมดไม่ใช่แค่เพียงนายอัจฉริยะ