xs
xsm
sm
md
lg

รองเลขา ปปง.ปัดลักรถ “ผกก.โจ้” แจงถูกขอให้ช่วยขายนำเงินไปใช้ทางคดี หลัง ป.ป.ช.สั่งอายัดต้องควักเงินส่วนตัวจ่ายคืนผู้ซื้อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



MGR Online - “พล.ต.ต.เอกรักษ์” ยืนยันไม่ได้ลักรถ "ผกก.โจ้" ไปขาย แจงทนาย-แฟนสาวขอให้ช่วยขายรถนำเงินใช้ทางคดี และเมื่อ ป.ป.ช.มีคำสั่งอายัด ตนต้องควักเงินส่วนตัวจ่ายคืนให้คนที่ซื้อรถไป ยืนยันไม่ได้โกง เตรียมฟ้องกลับ "อัจฉริยะ" 

จากกรณี นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าแจ้งความที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อเอาผิด พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. , ร.ต.ท.ภาณุรุจ ลิ้มสังกาศ หรือเบิร์ด ลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ และผู้ร่วมขบวนการปลอมเอกสารลักรถยนต์ของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ ในข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหะสถาน , ร่วมกันรับของโจร , ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ และ ใช้เอกสารราชการปลอม” เมื่อวานนี้ 5 เม.ย.66

วันนี้ (6 เม.ย.) พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. เปิดเผยว่า หลังจาก ผู้กำกับโจ้ ถูกนำตัวเข้าเรือนจำฯ ทางทนายความและแฟนสาวของผู้กำกับโจ้ ได้มาขอให้ตนช่วยนำรถที่มีอยู่ไปขายเพื่อนำเงินไปใช้จ่ายทางคดี ทนายจึงได้นำรถ กุญแจและเอกสารมาให้ตน พร้อมยืนยันว่าผู้กำกับโจ้ให้แฟนสาวเป็นคนตัดสินใจ ตนจึงช่วยเหลือโดยให้ ร.ต.อ.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ บุตรชาย นำรถไปขายให้ จากนั้น เมื่อขายรถได้ก็นำเงินให้แฟนสาวผู้กำกับโจ้ไป

พล.ต.ต.เอกรักษ์ เผยว่า ต่อมา สำนักงาน ป.ป.ช. มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สิน (รถยนต์หรูกว่า 13 คันตามบัญชีฟ้อง) เป็นเหตุให้รถที่ขายไปแล้วนั้น ตนต้องควักเงินส่วนตัวไปคืนคนที่ซื้อรถไป จากนั้นก็นำรถมาเก็บไว้ระหว่างรอคำสั่งศาล ซึ่งปัจจุบันรถทั้งหมดก็ยังอยู่ระหว่างการถูกอายัด ยังอยู่ในประเทศไทยเพื่อรอคำสั่งศาลเด็ดขาด โดยถ้าหากศาลมีคำสั่งยึด ก็ต้องนำรถไปส่งให้กับศาล ดังนั้น ในเมื่อ ป.ป.ช. อายัดทั้งหมด ตนจะไปขโมยรถของผู้กำกับโจ้ทำไม

พล.ต.ต.เอกรักษ์ เผยอีกว่า หากทางตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ออกหมายเรียกตนไปสอบถามในเรื่องดังกล่าว ก็ยินดีไปให้การชี้แจงทุกประเด็น ขอยืนยันว่าไม่ได้ขโมยรถของอดีตผู้กำกับโจ้ตามที่ถูกพาดพิง ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะเดินไปขโมยรถได้ ส่วนกุญเเจรถ เอกสารต่างๆ ผู้ที่นำมาให้ก็เป็นทนายความของผู้กำกับโจ้เอง และยังถามทนายด้วยว่าได้เอกสารมาอย่างไร ทางทนายก็ระบุว่าได้นำไปให้ผู้กำกับโจ้เซ็นในเรือนจำ ซึ่งตรงนี้คือพยานหลักฐานสำคัญว่าเอกสารมีลายเซ็นของผู้กำกับโจ้ หากไม่มีลายเซ็นใครจะไปกล้าทำธุรกรรม และตนจะไปปลอมเอกสารเพื่ออะไร

เมื่อถามว่าทางคิดเห็นอย่างไรที่อดีตผู้กำกับโจ้ มอบหมายให้นายอัจฉริยะมาร้องทุกข์กล่าวโทษตัวเองนั้น พล.ต.ต.เอกรักษ์ ยืนยันว่า ก็สู้คดีกันไปเพราะตนไม่ได้โกงและมีพยาน ส่วนนายอัจฉริยะมีการระบุว่าบุตรชายตนมีการโพสต์ขายรถของผู้กำกับโจ้ทางเฟซบุ๊ก มีการสวมป้ายทะเบียน หรือรวมถึงเรื่องรถเบนซ์นั้น ตนต้องเรียนว่ารถเบนซ์คันดังกล่าว ผู้กำกับโจ้ได้ยกให้ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งไป และจนถึงตอนนี้ผู้ใหญ่ท่านนี้ก็ผ่อนอยู่ ติดไฟแนนซ์ บริษัท ราชธานีลิสซิ่งจำกัด (มหาชน) ส่วนเรื่องป้ายทะเบียน ลูกชายตนขายอยู่แล้ว มันไม่ใช่ป้ายทะเบียนของผู้กำกับโจ้ เนื่องจากได้เอาไปคืนไฟแนนซ์ให้ทำสงวน จากนั้นไฟแนนซ์ก็คืนให้กับน้องสาวของผู้กำกับโจ้ ที่เหลือก็ติดอยู่กับรถที่ถูกอายัด ถอดไม่ได้ ตนจึงไม่ทราบว่าผู้กำกับโจ้รู้หรือไม่ว่ายังมีรถกว่าสิบคันถูกอายัดไว้อยู่

"จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นส่งผลต่อชื่อเสียงและครอบครัวได้รับผลกระทบ ผมจึงอยู่ระหว่างติดต่อทนายความให้ดำเนินการฟ้องนายอัจฉริยะ อย่างไรก็ตามคงต้องคุยเรื่องรายละเอียดกับทนายอีกทีหนึ่งว่าจะฟ้องประการอะไรบ้าง และถ้านายอัจฉริยะจะฟ้อง ผมก็พร้อมฟ้องกลับ ส่วนกรณีที่เลขาธิการ ปปง. ต้องการให้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับประเด็นข้อครหาดังกล่าว ก็พร้อมทำหนังสือชี้แจงหากมีคำสั่ง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรองเลขาธิการปกติ" พล.ต.ต.เอกรักษ์ ระบุ
กำลังโหลดความคิดเห็น