พ่อค้าไก่ย่างส้มตำอดีตผู้ต้องหา แพะในคดีวิ่งราวแหวนเพชร 15.8 ล้าน ร้องทนายรณณรงค์ ถูก ตร.บางเสาธง จับติดคุกฟรี 7 เดือน 10 วัน ทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิด จนศาลยกฟ้อง พอร้องเรียนชุดจับกุมเรื่องเงียบหาย
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 21 มีนาคม 2566 ที่สำนักงานทนายความคู่ใจ ถ.แจ้งวัฒนะ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ดจ.นนทบุรี นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ พ่อค้าไก่ย่างส้มตำ อายุ 54 ปี นำเอกสารหลักฐานเดินทางเข้าร้องเรียนกับนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ให้ช่วยเหลือกรณีที่ตนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเสาธง ยัดข้อหาวิ่งราวทรัพย์ จนเป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดีเป็นแพะติดคุกอยู่นาน 7 เดือน 10 วัน ทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิด ก่อนศาลชั้นต้นและอุทธรณ์จะตัดสินยกฟ้อง อัยการและโจทก์ร่วมไม่ฎีกาจึงพ้นมลทิน
นายพิสิษฐ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2559 ช่วงกลางวัน ได้เกิดเหตุวิ่งราวทรัพย์ที่บ้านเลขที่ 6661-62 หมู่บ้านนิศาชล ซอย 6 แขวงคลองขวาง เขตภาษีเจริญ กทม. คนร้ายได้แหวนเพชรจำนวน 3 วง และเพชรแฟนซี 17.34 กะรัต 1 เม็ด มูลค่ารวม 15.8 ล้านบาท มีบริษัท กาแล็คซี่ ไดมอนด์ และ น.ส.บุญญรัตน์ รัศมีสุขานนท์ แม่ค้าขายเพชรเป็นผู้เสียหาย ซึ่งได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า น.ส.บุญญรัตน์ แม่ค้าขายเพชร ได้รับการติดต่อขอซื้อเพชรจากลูกค้าคนหนึ่ง โดยนัดหมายดูของที่บ้านหลังดังกล่าว เมื่อนำแหวนและเพชรทั้งหมดมาเปิดให้ดู ลูกค้าคนดังกล่าวได้หยิบถาดแหวนเพชร แล้ววิ่งหลบหนีออกจากบ้านพร้อมปิดล็อกประตูบ้าน กักขังผู้แจ้งไว้ภายใน จนต้องปีนรั้วออกมาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเสาธง พื้นที่เกิดเหตุ
หลังจากนั้น ตำรวจชุดสืบสวน สน.บางเสาธง ได้รวบร่วมพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลออกหมายจับตน กระทั่งช่วงเดือน ก.พ. 2560 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุมตนที่บ้านเช่า ใน จ.นครพนม โดยตนกำลังขายไก่ย่างส้มตำให้กับลูกค้า พร้อมแสดงหมายจับของ สภ.สูงเนิน ข้อหาฉ้อโกง ซึ่งตนไม่ทราบมาก่อนว่าตัวเองมีหมายจับดังกล่าว ก่อนจะควบคุมตัวมาดำเนินคดีข้อหาวิ่งราวทรัพย์ ตามหมายจับของศาลอาญาธนบุรี ซึ่งตนยืนนการปฏิเสธข้อกล่าวหามาตลอดตั่งแต่ถูกจับกุมว่าไม่ใช่คนร้ายที่ก่อเหตุวิ่งราวแต่อย่างใด
หลังจากนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งฟ้องตน โดยทางอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องศาลอาญาธนบุรี โดยมี บริษัท กาแล็คซี่ ไดมอนด์ จำกัด โจทก์ร่วมที่ 1 และ น.ส.บุญญรัตน์ เป็นโจทก์ร่วมที่ 2 ระหว่างรอผลการพิจารณาคดีตนถูกกุมขังที่เรือนจำพิเศษธนบุรี เป็นเวลา 7 เดือน 10 วัน จนกระทั่งศาลอาญาธนบุรีพิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2560 จึงปล่อยตัวสู่อิสรภาพ ต่อมาฝ่ายโจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2561 และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2561 จากนั้นฝ่ายโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้ขอยื่นฎีกา ตนจึงพ้นมลทิน
จากนั้น เมื่อเดือน เม.ย. 2560 ตนเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.บุญญรัตน์ รัศมีสุขานนท์ ในความผิดฐานนำความเท็จฟ้องผู้อื่นฯ และเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 175, 177 ต่อศาลอาญาธนบุรีคดีหมายเลขดำ อ.1150/2562 จนเมื่อ 20 ม.ค. 2565 ศาลอาญาธนบุรี พิพากษา น.ส.บุญญรัตน์ รัศมีสุขานนท์ มีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 177 วรรคสอง ให้จำคุก 3 ปี หลังจากนั้น ตนได้เงินเยียวยาจากกระทรวงยุติธรรมมาจำนวน 2 แสนบาท แต่ก็ไม่สามารถบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตน ทั้งชื่อเสียงการทำงานหาเลี้ยงชีพ
วันนี้จึงเดินทางนำเอกสารหลักฐานมาร้องขอความช่วยเหลือกับทางทนายรณณรงค์ให้ช่วยเหลือในเรื่องที่ก่อนหน้านี้ ตนตกเป็นแพะในคดีวิ่งราวทรัพย์แหวนเพรช ก่อนศาลจะตัดสินคดียกฟ้องตน แต่ช่วงระหว่างรอการพิจารณาคดีตนต้องถูกขังอยู่นานถึง 7 เดือนกับอีก 10 วัน ซึ่งตนได้รับผลกระทบกับทั้งร่างกายและจิตใจ จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงยุติธรมม ปปช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมว่าได้กระทำการจับกุมตนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ แต่เรื่องกับเงียบหายไป จึงเดินทางมาขอให้ทางทนายรณณรงค์ช่วยเหลือ
ด้าน ทนายรณณรงค์ กล่าวว่า หลังจากนี้ จะพาผู้เสียหายเดินทางไปที่กระทรวงยุติธรรมเพื่อสอบถามความคืบหน้าว่าทางกระทรวงยุติธรรมจะจัดหาทนายความดำเนินการฟ้องร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้กับผู้เสียหายได้ฟรีหรือไม่ ถ้าไม่ได้ผู้เสียหายจะได้ดำเนินการเองต่อไป และจะไปติดตามผลการสอบสวนทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าผลการสอบสวนเป็นอย่างไรมีการลงโทษทางวินัยไปแล้วหรือยังเพราะเรื่องเกิดมานานตั่ง 6 ปีแล้ว ผลการสอบน่าจะรู้แล้ว นอกจากนี้ อยากฝากเตือนประชาชนที่อาจจะถูกดำเนินคดี ทั้งที่ตนเองไม่ได้เป็นคนทำเหมือนกับคดีนี้ที่ตกเป็นแพะว่าให้ดูคำพิพากษาของศาลให้ดีอย่างกรณีนี้ศาลใช้คำตัดสินว่าพยานหลักฐานของโจทย์ไม่น่าเชื่อถือนั้นแสดงว่าศาลท่านมองว่ามีคนพยายามทำจัดฉากนำหลักฐานปลอมมายัดให้กับศาล ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรจะต้องเข้ามาดูแลเยี่ยวยาผู้เสียหายเพราะว่าลูกน้องของท่านเป็นคนจับยัดแพะเข้าเรือนจำ