อัยการนนทบุรี เผยความคืบหน้าคดีแตงโมตกเรือเสียชีวิต สั่งแยกฟ้อง 4 คน บนเรือ นัดยืนยันคำให้การ 28 เม.ย. จะรับทราบข้อหาหรือปฏิเสธสู้คดี
เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 66 เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานอัยการ จังหวัดนนทบุรี ผู้สื่อข่าวเดินทางเข้าพบ นางสาวสุภาภรณ์ นิปวณิชย์ หรือ อัยการดาว เพื่อสอบถามความคืบหน้ากรณีศาลมีคำสั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่ปฏิเสธจำนวน 4 คน ภายในกำหนด นัดวันที่ 17 มี.ค. 2566 คดีดาราสาวแตงโมนิดา
นางสาวสุภาภรณ์ นิปวณิชย์ หรือ อัยการดาว กล่าวว่า ความคืบหน้าของคดีจากเดิมที่ศาลมีคำสั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่ปฏิเสธจำนวน 4 คน ภายในกำหนดนัดวันที่ 17 มี.ค.ได้ดำเนินการแยกฟ้องจำเลยที่ศาลมีกำหนดให้แยกตั้งแต่ วันที่ 16 มี.ค.ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว เมื่อมีการแยกฟ้องการพิจารณาคดีจะแยกเป็น 2 ส่วน ในส่วนคดีเดิมที่มีเลขคดีดำเดิมอยู่แล้วศาลก็จะพิจารณาวินิจฉัย ซึ่งก็จะเป็นขั้นตอนดุลพินิจว่าศาลจะตัดสินวินิจฉัยไปในทางไหน
ในส่วนนั้นศาลก็จะมีนัดฟังคำพิพากษาเดิมคืนเดือน พ.ค. ตามที่ได้ทราบกันแล้วหนึ่งส่วนคดีใหม่ในส่วนจำเลยที่ให้การปฏิเสธ 4 คน ต้องแจ้งก่อน ในส่วนที่ ปฏิเสธ 4 คน ณ ตอนนี้ ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีจำเลยที่ให้การรับสารภาพเพิ่ม เพราะฉะนั้นการดำเนินขบวนพิจารณาก็จะเข้าสู่วิธีการนัดพร้อม นัดพร้อมเพื่อสอบถามความพร้อม สอบถามว่าจำเลยทั้ง 4 จะยืนยันคำให้การปฏิเสธหรือรับสารภาพอีกครั้ง ศาลจะถามในวันนัดก็คือในวันที่ 28 เม.ย. อีกครั้งหนึ่งว่าจะให้การยังไง เมื่อสอบถามวันนัดแล้วก็จะมีการนัดตรวจพยานและนัดสืบพยาน ในส่วนของจำเลยที่ปฏิเสธอีกครั้ง ในส่วนของคดีเป็นคำสั่งของคดี รายงานการสืบสวน สอบสวนเป็นขั้นตอนพยานหลักฐานเดิมทั้งหมดที่ทำ ก่อนส่งฟ้องศาล ในขั้นตอนการแยกฟ้อง มันเป็นขั้นตอนกระบวนการพิจารณาของศาลที่กำหนดตามกฎหมาย
ในระหว่างพิจารณาจำเลยสามารถรับสารภาพก็ได้ เมื่อมีการรับสารภาพศาลก็จะมีดุลพินิจในแต่ละส่วนแยกออกไปเพื่อไม่ให้สำนวนล้าช้าพ่วงกัน เพราะว่าส่วนของจำเลยที่รับสารภาพ ตามหลักเขาก็พร้อมที่จะรับฟังผลของคำพิพากษาของศาล ส่วนศาลจะตัดสินยังไงเขาจะใช้สิทธิ์อุทธรณ์หรือฎีกาก็เป็นส่วนของจำเลยที่เขารับสารภาพถ้าเขาพอใจในคำพิพากษาของศาล ไม่ว่าศาลจะตัดสินยังไงลงโทษจำคุกหรือไม่ หรือรอการลงโทษหรือไม่ กรณีถ้าจำเลยพอใจในส่วนของจำเลยเขาก็อาจจะไม่อุทธรณ์
แต่ถ้าเขาไม่พอใจในคำพิพากษาของศาลแล้วกฎหมายไม่ได้ต้องห้ามอุทธรณ์ เขาก็มีสิทธิยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา ในส่วนของโจทก์ก็เช่นเดียวกันก็ต้องดูผลการพิจารณา ก็เป็นการพิจารณาในส่วนของพนักงานอัยการ ณ ตรงจุดนั้นในอนาคตก็ต้องรอคำพิพากษาคำสั่งศาลเช่นเดียวกับทุกท่านเหมือนกัน คดีในส่วนคดีอาญาหลัก คือ ถ้าจำเลยให้การปฏิเสธโจทย์มีหน้าที่นำสืบของฝ่ายโจทก์เพราะเราเป็นระบบกล่าวหาเป็นการนำหลักฐานทั้งหมดเท่าที่มีตั้งแต่ชั้นสอบสวนที่พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและคำสั่งสอบสวนเพิ่มเติมของพนักงานอัยการ ก็คือ การรวบรวมพยานหลักฐานตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการนำส่งเขามา จากที่พนักงานสอบสวนรวบรวมมา เราก็ใช้พยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์มีประโยชน์ต่อรูปคดีให้มีน้ำหนักคำฟ้องต่อรูปคดีแล้วก็นำพยานหลักฐานทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล
ส่วนจำเลยก็มีสิทธิจะให้การแล้วแต่เข้าจะนำพยานหลักฐานอะไรมาหักล้าง ศาลก็จะวิเคราะห์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์จำเลย ศาลก็จะให้ดุลพินิจช่างน้ำหนักพยานหลักฐานว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหน้าเชื่อถือ พยานหลักฐานมั่นคง รับฟังได้ไหมว่าจำเลยทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ศาลก็จะวินิจฉัยคดี