รอง ผบช.น.เผย ตำรวจ สน.ห้วยขวาง 7 นาย เข้าให้ข้อมูลยืนยันไม่ได้เรียกรับเงินดาราสาวชาวไต้หวัน ยอมรับโต้เถียงกันเพราะขอดูพาสปอร์ต แต่เจ้าตัวอยู่ในลักษณะมึนเมา
วันนี้ (26 ม.ค.) เมื่อเวลา 17.30 น. ที่ สน.ห้วยขวาง พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รอง ผบช.น. เรียกประชุมกรณีตำรวจ สน.ห้วยขวาง ถูกกล่าวหาจากดารานักแสดงไต้หวันคนหนึ่ง ว่า เรียกรับผลประโยชน์ขณะเข้ามาเที่ยวยังประเทศไทย โดยนักแสดงไต้หวัน ได้โพสต์ลงอินสตาแกรม ระบุว่า เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ถูกตำรวจไทยไถเงิน 27,000 บาท โดยมีตำรวจป้องกันปราบปราม สน.ห้วยขวาง ที่ปฏิบัติหน้าที่วันเวลาดังกล่าวเข้าให้ข้อมูล 7 นาย
พล.ต.ต.สำเริง กล่าวว่า จากการสอบถามชุดปฏิบัติการทั้ง 7 นาย ที่เข้าให้ข้อมูล ยืนยันไม่มีการเรียกรับเงินนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน แต่ยอมรับว่า มีการโต้เถียง เนื่องจากขอเรียกตรวจสอบหนังสือเดินทาง แต่นักท่องเที่ยวไต้หวันคนนี้ มีอาการมึนเมา อ้างว่า ไม่ได้พกพาหนังสือเดินทางติดตัวมาด้วย แต่สามารถให้เพื่อนนำมาจากที่พัก มาให้ตำรวจตรวจสอบได้ เนื่องจากการสื่อสารและภาษาไม่เข้าใจกัน ประกอบกับในเวลาดังกล่าว เป็นช่วงใกล้เวลาของการยกเลิกจุดตรวจ ว.43 เคลื่อนที่ป้องกันเหตุอาชญากรรม จึงอนุญาตให้นักท่องเที่ยวคนดังกล่าวเดินทางกลับไปได้ เนื่องจากหัวหน้าชุดจุดตรวจ ประเมินแล้วว่า ไม่น่าจะเป็นบุคคลที่เป็นภัยหรือเป็นอันตราย
พล.ต.ต.สำเริง กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีพบบุหรี่ไฟฟ้า ที่ตัวของนักท่องเที่ยวไต้หวันคนนี้ ยอมรับว่า ตำรวจไม่ได้มีการจับปรับ แต่ได้ชี้แจงว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีความผิดตามกฎหมายของประเทศไทย พร้อมยอมรับว่า การจะเชิญตัวนักท่องเที่ยวไต้หวันคนนี้มาให้ข้อมูลคงเป็นไปได้ยาก เพราะขณะนี้ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แต่เบื้องต้นทราบว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกรอกข้อมูลข้อเท็จจริงนี้แล้ว นอกจากนี้ อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานกล้องวงจรปิดในจุดต่างๆ เพื่อมาหักล้าง และยืนยันว่า ตำรวจไม่ได้มีพฤติกรรมเรียกรับผลประโยชน์ตามที่นักท่องเที่ยวคนนี้กล่าวอ้าง
ทั้งนี้ ในส่วนของการพิจารณาในฐานะที่ตำรวจไทย ถูกกล่าวหา เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือไม่ คงเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาระดับสูง หรือ ฝ่ายกฎหมายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่พิจารณาดำเนินคดีย้อนหลังได้หรือไม่ ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความเสื่อมเสีย และในฐานะผู้บังคับบัญชาได้ให้กำลังใจนายตำรวจชั้นผู้น้อยระดับปฏิบัติการ ไม่ให้เสียขวัญและกำลังใจไปกว่านี้ เหตุการณ์นี้คงไม่สามารถตอบได้ว่า มีเจตนาต้องการลดความน่าเชื่อถือต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยหรือไม่