อสส.ชี้ขาดฟ้อง “ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ” ผิด 116 คดีถูกอดีต “พุทธะอิสระ” เเจ้งความอภิปรายจาบจ้วงยุยงปี 63 รอนัดตัวฟ้องศาลอาญา
เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (30 พ.ย.) นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกันแถลงข่าว น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด มีคำสั่งชี้ขาดสั่งฟ้อง คดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา มีคำสั่งฟ้อง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช เป็นผู้ต้องหาที่ 1-3 กระทำความผิดข้อหาร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชน ด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชน
ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
ว่าตามที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 1702/2563 ของ สน.พญาไท ซึ่งมีนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ อดีตพุทธะอิสระ เป็นผู้กล่าวหา
นายโกศลวัฒน์ กล่าวว่า เดิมคดีนี้พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งทางคดีดังนี้สั่งไม่ฟ้อง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ต้องหาที่ 1, นายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ต้องหาที่ 2, น.ส.พรรณิการ์ วานิช ผู้ต้องหาที่ 3 ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 116(3) แล้ว จึงส่งสำนวนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145/1 ซึ่งภายหลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีความเห็นแย้งว่ายังไม่อาจเห็นพ้องด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1-3 ในความผิดตามข้อกล่าวหา แล้วส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาชี้ขาด ความเห็นแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 วรรคสอง
คดีนี้ อัยการสูงสุด ได้พิจารณาแล้วได้มีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ต้องหาที่ 1 นายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ผู้ต้องหาที่ 3 ฐานร่วมกันล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเบิดกฎหมายแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 2, 6, 34, 49 และ 50 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 116 (2), (3)
นายธรัมพ์ กล่าวต่อว่า อัยการสูงสุดได้พิจารณาชี้ขาดความเห็นแย้ง โดยชี้ขาดให้ฟ้องคดี เพราะมองพฤติกรรมการกระทำต่างๆของผู้ถูกกล่าวหาแล้วเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 116 คือ แสดงความเห็นด้วยวาจา หนังสือให้ปรากฏในหมู่ประชาชน ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในราชอาณาจักรแล้วทำให้มีการล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ทั้งจากคำปราศรัย และการแสดงความคิดเห็นทางสื่อออนไลน์ต่างๆ แต่ไม่มีข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เรื่องจากไม่มีการเเจ้งข้อหามาแต่แรก อย่างไรก็ตาม คดีนี้มีพิจารณามาตั้งแต่สมัยอัยการสูงสุดคนก่อนๆ แต่เพิ่งมีคำสั่งชี้ขาดในสมัย อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน ขั้นตอนหลังจากนี้จะแจ้งคำสั่งชี้ขาดของอัยการสูงสุดไปยังพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อตามตัวและนัดหมายนายธนาธร มารับทราบข้อกล่าวหาและยื่นฟ้องต่อศาลอาญาต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมูลเหตุคดีนี้ นายสุวิทย์ ได้แจ้งความช่วง ต.ค. 63 พนักงานสอบสวน อ้างถึงกรณี นายธนาธร เคยอภิปรายเรื่องอภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน 2475 พูดถึงประวัติศาสตร์การเมืองไทย 14 ตุลาคม 6 ตุลาคม 2519 เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนก่อตั้งวารสารฟ้าเดียวกัน อภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่างๆ รวมทั้งงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ และไปปรากฏตัวในที่ชุมนุม ในกรณีของตนไปเอางานวิชาการสมัยตนเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ตีพิมพ์ในวารสารฟ้าเดียวกัน และหนังสือราชมัลลงทัณฑ์บัลลังก์ปฏิรูป และเอาความเห็นกรณีเสนอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการปฏิรูปสถาบันฯ เพื่อไม่ให้เอาข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมไปอยู่บนท้องถนน การชุมนุมจะได้คลี่คลายเบาบางลง โดยอ้างว่ากรณีนี้ทำให้เยาวชน นิสิต นักศึกษาออกมาชุมนุม ส่วนกรณีของ น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า ไปปรากฏตัวในการชุมนุม และไลฟ์สด