"นายกสภาทนาย"สั่งแจ้งความเอาผิด “พ่อค้าไก่หมุน” แอบอ้างเป็นทนายความ ว่าความในศาลกำแพงเพชรหลายข้อหาทั้งผิดพ.ร.บ.ทนายความ-ปลอมเอกสาร พร้อมช่วยเหลือประชาชนผู้เสียหาย
วันนี้ (5 ต.ค.) นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ นายสุนทรพยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ นายวีรศักดิ์ โชติวานิช รองโฆษกสภาทนายความ ร่วมกันแถลงข่าวกรณี “พ่อค้าไก่หมุน” ปลอมเป็นทนายความไปว่าความคดีในศาลจังหวัดกำแพงเพชร ว่า จากการดรวจสอบแล้วในเบื้องตันพบว่าบุคคสที่แอบอ้างไม่ได้เป็นทนายความ ดังนั้นการกระทำของบุคคลดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำความผิดกฎหมายอยู่ในหลายบท ส่วนแรกเกี่ยวกับสภาทนายความทนายความ เข้าข่ายการกระทำความผิดมาตรา 33 ซึ่งกำหนดไว้ว่าห้ามมิให้บุคคลที่ไม่ได้เป็นทนายความหรือถูกพักหรือถูกลบชื่อจากการจะใช้ความไปว่าความในศาลรวมทั้งยื่นคำร้องคำฟ้องต่างๆ ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวจะมีโทษตามมาตรา 82 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในส่วนของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา เข้าข่ายการกระทำความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 264 และ 268 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่เนื่องจากใบอนุญาตทนายความเป็นสมาร์ทการ์ดแล้วก็ในบัตรอนุญาตทนายความนั้นจะปรากฎลายมือชื่อของนายกสภาทนายความและนายทะเบียนสภาทนายความ ซึ่งเป็นลายมือชื่อหรืออิเล็กทรอนิกส์อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา 269/1 มีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปีและปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 100,000 บาท และความผิดตามมาตรา 269/4 ซึ่งระหว่างโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปีหรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 140,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
พฤติกรรมดังกล่าวยังเป็นการไปหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อว่าตนเองเป็นทนายความการกระทำดังกล่าวก็จะเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงและอาจจะส่งผลไปถึง
ฉ้อโกงประชาชนได้เพราะผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก กระทำดังกล่าวสภาทนายความให้ความช่วยเหลือเนื่องจากเป็นความเดือดร้อนทั้งหมด นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวยังเป็นการละเมิดอำนาจศาลอีกด้วย โดย ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ได้สั่งการให้นายทะเบียนทนายความเป็นผู้รับมอบอำนาจไปดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อให้ทางพนักงานสอบสวนในเขตพื้นที่ดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างกับบุคคลทั่วไปที่จะมาแอบอ้างการประกอบวิชาชีพทนายความต่อไป
นายวิเชียร กล่าวว่า จากประสบการณ์ครั้งนี้ถือว่ารุนแรง เป็นการกระทำที่อุกอาจและร้ายแรงมาก ส่วนผลของคำพิพากษาบางคดีทราบว่าศาลได้พิพากษาไปแล้ว บางคดีถึงที่สุด ซึ่งตรงนี้ถือเป็นดุลยพินิจของศาลว่าจะพิจารณาต่อไปแบบไหนอย่างไร ส่วนคดีที่ยังอยู่ระหว่างพิจารณา ศาลสามารถเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผ่านมาได้ เพราะถือว่าเป็นกระบวนพิจารณามิชอบ โดยจะให้เริ่มแต่งตั้งทนายความที่แท้จริงเข้ามาใหม่
นายกสภาทนายความ กล่าวว่า ปกติการที่ทนายความจะเข้าดำเนินการว่าความในศาลจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากลูกความและไปยื่นคำร้องต่อศาล พร้อมกับสำเนาในประกอบวิชาชีพทนายความเป็นหลักฐานว่าเป็นทนายความถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับอนุญาตให้ว่าความเพื่อให้เจ้าหน้าที่ศาลได้ตรวจสอบ
นายวิเชียร กล่าวอีกว่า จริงๆแล้วเรามีความตั้งใจว่าข้อมูลของสภาทนายความและศาลยุติธรรมจะต้องเชื่อมโยงกันเพื่อให้มีการตรวจสอบเวลามีการแต่งตั้งทนายความเข้าไปในคดี ศาลสามารถตรวจสอบได้ อันนี้จะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาลักษณะนี้ขึ้นอีกขณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการ แต่เป็นแนวคิดที่ตนเองจะเข้าไปพูดคุยกับทางสำนักงานศาลยุติธรรมต่อไป