MGR Online - รอง ผบ.ตร.ควงอัยการ บินแคนาดา หารือแนวทางการส่งตัวผู้ต้องหามือยิงมาเฟียสัญชาติอินเดียดับคาวิลล่าหรู ภูเก็ต กลับมาดำเนินคดีในไทย ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
วันนี้ (24 มิ.ย.) พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ ในฐานะ รองโฆษก ตร. เปิดเผยถึงภารกิจของ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่า สืบเนื่องจากกรณีคนร้าย 2 คน สัญชาติแคนาดา กระหน่ำยิง นาย Jimi Singh Sandhu สมาชิกคนสำคัญของแก๊งมาเฟียข้ามชาติ สัญชาติอินเดีย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 65 หน้าวิลล่าหรูแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต โดยหลังก่อเหตุ ผู้ต้องหาได้ทำการหลบหนีออกจากประเทศไทย โดยจากการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติแคนาดา จึงทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 รายดังกล่าว ได้ทำการหลบหนีไปยังประเทศแคนาดา ในการนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงประสานขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดออกหมายจับกุมตัวชั่วคราว (Provisional Arrest) และแจ้งไปยังประเทศปลายทาง เพื่อดำเนินการสืบหาและจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายดังกล่าว เพื่อขอให้ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย
ต่อมาทางการแคนาดา แจ้งว่า สามารถทำการจับกุม 1 ในคนร้ายได้ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นว่า เป็นคดีสำคัญและเป็นการกระทำที่อุกอาจ โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต จึงอนุมัติให้ พล.ต.อ.สุชาติ พร้อมด้วย นางอินทรานี สุมาวงศ์ อัยการอาวุโส และคณะ เดินทางไปราชการต่างประเทศ ณ ประเทศแคนาดา เพื่อหารือแนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุดร่วมกับ ผู้บัญชาการกิจการพิเศษระหว่างประเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติแคนาดา (Royal Canadian Mounted Police) อธิบดีอัยการ กระทรวงยุติธรรมแคนาดา และหัวหน้าและเจ้าหน้าที่ทีมสืบสวนอาชญากรรมที่มีลักษณะเป็นเครือข่ายองค์กร (Combined Forces Special Enforcement Unit - CFSEU) ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวผู้ต้องหารายดังกล่าวให้กับทางการไทย เป็นผู้ร้ายข้ามแดน โดยจากการหารือร่วมกันนั้น ทางการแคนาดาพร้อมให้ความร่วมมือ และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองที่เกี่ยวข้องอื่นๆ กับคดีดังกล่าว
พล.ต.ต.เขมรินทร์ กล่าวด้วยว่า การเดินทางไปราชการต่างประเทศครั้งนี้ เป็นการกระชับความสัมพันธ์ความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติแคนาดา รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อสร้างเครือข่ายในการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อันจะยังเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป