อัยการเตือนสติ “หมอปลา” กับพวก ส่อผิด พ.ร.บ.คณะสงฆ์-พ.ร.บ.คอมฯ กระทบความมั่นคงด้านศาสนา ตำรวจดำเนินการได้ ไม่ต้องมีผู้เสียหาย
วันนี้ (15 พ.ค.) ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการในหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานกระบวนการยุติธรรม สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ให้ความเห็นข้อกฎหมายผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว
กรณีหมอปลาและคณะ ที่ประพฤติไม่เหมาะสมต่อหลวงปู่แสง ญาณวโร และคณะสงฆ์วัดป่าดงสว่างธรรม จังหวัดยโสธร ถ้าพิจารณาในข้อกฎหมาย อาจมีความผิดฐานใส่ความคณะสงฆ์อันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 44 ตรี ประกอบมาตรา 5 ทวิ ซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ยอมความไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องมีผู้เสียหายร้องทุกข์ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถหยิบยกคดีขึ้นดำเนินการตามกฎหมายด้วยตนเองได้เลย
โดยการใส่ความคณะสงฆ์ตามมาตรา 44 ตรี นี้ เป็นการทำให้ปรากฏข้อเท็จจริงที่อาจจะเป็นความจริงหรือเป็นความเท็จก็ได้ทั้งนั้น ถ้าทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อคณะสงฆ์ ก็ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายได้
นอกจากนี้ ยังอาจมีความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา หรือนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จอีกด้วย
ในประเด็นเรื่องการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จนี้ หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า น่าจะทำให้เกิดความเสียหายกระทบต่อความมั่นคงของประเทศทางด้านศาสนา เนื่องจากศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักของประเทศไทย ที่ประชาชนไทยส่วนใหญ่นับถือกัน จึงเป็นการสร้างความเสียหายกระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนาแก่ประชาชนในประเทศ และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านศาสนาของประเทศด้วยแล้ว ก็อาจจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(2) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ซึ่งเป็นความผิดที่ยอมความไม่ได้ ซึ่งจะแตกต่างจากความผิดตามมาตรา 14(1) ที่เป็นความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จทั่วๆ ไป ซึ่งสามารถยอมความได้ หากเป็นความผิดที่มิได้กระทำต่อประชาชน แต่กระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ในเรื่องการใส่ความคณะสงฆ์นี้ เคยมีคดีตัวอย่างเกิดขึ้นที่วัดไทย ซึ่งเป็นวัดป่าชื่อดังแห่งหนึ่งในต่างแดน โดยมีผู้หญิงรายหนึ่งที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งนี้ กล่าวหาว่า พระในวัดเข้ามาในห้องนอนของเธอในเวลากลางคืน และเผยแพร่เรื่องราวนี้ไปในโซเชียลมีเดีย ซึ่งเมื่อทางวัดสอบสวนเรื่องราวแล้วไม่เป็นความจริง ทางวัดจึงได้ฟ้องผู้หญิงคนนี้ต่อศาลอาญาของประเทศไทย ในความผิดตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 44 ตรี ดังกล่าว และความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ
โดยท่านที่สนใจสามารถศึกษาคดีนี้ได้จากเฟซบุ๊กของคุณอากาศ วสิกชาติ https://www.facebook.com/arkart.vasikachart ที่เป็นทนายความฟ้องคดีนี้ให้กับวัดไทย โดยในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ฝ่ายผู้หญิงได้ยอมรับว่า ไม่ได้เกิดเหตุการณ์ตามที่ตนกล่าวอ้างแต่อย่างใด และยอมรับผิดขอขมาในเรื่องที่เกิดขึ้น ทางวัดจึงถอนฟ้องคดีนี้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก่อนที่ศาลจะประทับรับฟ้อง