กลุ่มพีมูฟ จำนวน 12 คน เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง รับทราบข้อหาฝ่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กรณีชุมนุม 20 ม.ค.- 3 ก.พ.ที่ผ่านมา
วันนี้ (1 มี.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ สน.นางเลิ้ง กลุ่มแนวรวมขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หรือ P-Move (พีมูฟ) จำนวน 12 คน นำโดย นายจำนงค์ หนูพันธ์ ประธานคณะกรรมการบริหารพีมูฟ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สำเนียง โสธร รอง ผกก.(สอบสวน) สน.นางเลิ้ง เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ร่วมกันฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 20 ม.ค.- 3 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยมีมวลชนจำนวนประมาณ 30 คน ร่วมเดินทางมายัง สน.นางเลิ้ง
น.ส.เนืองนิช ชิดนอก สมาชิกเครือข่ายสลัมสี่ภาค ได้อ่านแถลงการณ์ระบุว่า พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่าน พวกเราขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ พีมูฟ เดินทางมายังสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง วันนี้ เพื่อรายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน ที่กล่าวหาว่า การเคลื่อนไหวเพื่อทวงสิทธิในความเป็นคนของเราเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ผ่านมา พีมูฟได้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิอันพึงมี ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเอง แต่เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ พวกเราถูกกระทำผ่านกฎหมายและนโยบายของภาครัฐที่ทิ้งเราไว้ข้างหลัง กดทับ ละเมิดสิทธิของพวกเรา ที่เป็นคนจนเมือง กลุ่มคนไร้บ้าน ประชาชนในเขตป่า และกลุ่มชาติพันธุ์ สิ่งที่พวกเราทำได้จึงมีเพียงการลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมเท่านั้น เพราะหากไม่สู้ เราคงถูกกดทับไปชั่วลูกชั่วหลาน ไม่มีทางได้ลืมตาอ้าปากและปลดพันธนาการทางชนชั้นได้ ราคาที่เราต้องจ่ายจากการออกมาเรียกร้องสิทธิ คือ การถูกแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน” จำนวน 2 หมาย รวมทั้งสิ้น 16 คน ที่ประกอบด้วย พวกเราชาวบ้านพีมูฟ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ร่วมสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพีมูฟ พวกเราเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้สะท้อนภาพบ้านเมืองของเราที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นการใช้กฎหมายปิดปากประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม วันนี้เราต้องเดินทางมาจากต่างที่ต่างถิ่น บางคนต้องเดินทางอย่างยากลำบาก ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด รัฐบาลและตำรวจไม่สมควรกระทำกับเราเช่นนี้ เราจึงขอประกาศย้ำข้อเรียกร้องเดิมของเรา คือ การต้องเร่งยุติกระบวนการทางกฎหมายกับพวกเราทั้ง 16 คน รวมถึงต้องยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยเร็วที่สุด พวกเรายืนยันว่า การลุกขึ้นมาส่งเสียง การลุกขึ้นมาใช้สิทธิปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนและเรียกร้องสิทธิที่ประชาชนพืงมีนั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาระหว่างประเทศ แม้วันนี้พวกเราจะถูกกระทำ แต่ก็จะขอลุกขึ้นสู้ จนกว่าสิทธิในการกำหนดชีวิตของประชาชน จะเป็นของประชาชนโดยแท้จริง
ขณะที่ นายจำนงค์ กล่าวว่า กำลังต่อสู้ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะเป็นการขัดขวางประชาชนที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา ขณะนี้รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาของตนเอง โดยไม่สนใจข้อเรียกร้องของประชาชน จึงอาจจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่เพื่อให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนการยุติคดีนั้น ต้องเป็นไปตามกฎหมาย เมื่อออกหมายเรียก ก็ต้องมารายงานตัวส่วนขั้นตอนการเรียกร้องต่างๆ จะว่ากันต่อว่าจะทำอย่างไรให้ยุติคดี ซึ่งได้ประชุมกับทาง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อยื่นกรณีนิรโทษกรรมให้กับประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากการละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากนโยบายของรัฐบาล โดยนายสมศักดิ์รับปากว่าจะทำให้เสร็จภายใน 3 เดือนซึ่งก็ต้องติดตามต่อไปว่าจะทำได้จริงหรือไม่
ขณะที่ น.ส. ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ในฐานะทนายความกลุ่มพีมูฟ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นทนายความ มองว่าการชุมนุมดังกล่าวไม่ควรถูกดำเนินคดี เนื่องจากเป็นการมาติดตามประเด็นที่เคยเรียกร้องกับรัฐบาล แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหา หากรัฐบาลยังใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินมาแก้ไขปัญหา ด้วยการดำเนินคดีกับชาวบ้านที่มาชุมนุม ตนมองว่า เป็นการใช้กฎหมายมาปิดปากประชาชน ดังนั้น ควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯได้แล้ว เพราะไม่ได้ใช้แก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด แต่ใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีกับประชาชนที่มาเรียกร้องสิทธิต่างๆ สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือการแก้ปัญหาที่เรียกร้อง ไม่ใช่การดำเนินคดี โดยในวันนี้มีผู้ที่มารับทราบข้อกล่าวหาทั้งหมด 12 คน เนื่องจากมี 3 คนมีความเสี่ยงจากสถานการณ์โควิด และอีก 1 คน อยู่ไกลมาก และต้องดูแลผู้ป่วย หลังรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ก็จะทำเรื่องเรียกร้องให้มีการงดเว้นการดำเนินคดีต่อไป