MGR Online - ทนายรณณรงค์ พาผู้เสียหายร้องทุกข์ เลขาฯ รมว.ยธ. คดีภรรยาถูกพี่เขยข่มขืนตัดสินใจฆ่าตัวตาย หลังศาลฎีกายกฟ้อง ยอมรับกฎหมายมีช่องโหว่
วันนี้ (9 ก.พ.) เวลา 09.30 น. ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมด้วย นายจีรศักดิ์ กิ่งไทรย์ สามีของผู้เสียชีวิต เข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม จากกรณีที่ผู้ตายถูกพี่เขยตัวเองข่มขืนกระทำชำเรา และสู้คดีมาตลอดเป็นระยะเวลา 3 ปี จนศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้อง เป็นเหตุให้เกิดอาการเครียดและกินยาเบื่อฆ่าตัวตาย เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับตัวเอง โดยทางครอบครัวอยากให้ทางกระทรวงยุติธรรม ช่วยตรวจสอบว่ามีหนทางการรื้อฟื้นคดีหรือตรวจสอบว่ามีการใช้เอกสารเท็จในคดีหรือไม่ เนื่องจากสามียังเชื่อว่าคนตายไม่น่าจะโกหก
นายจีรศักดิ์ เผยว่า วันเกิดเหตุที่บ้าน จ.สุพรรณบุรี ตนพร้อมภรรยา ตั้งวงดื่มเหล้ากับคนรู้จักอีกหลายคน กระทั่งภรรยาตนมีอาการเมา จึงพาขึ้นไปนอนบนห้อง ส่วนตนเก็บข้าวของด้านล่างก่อนจะตามขึ้นไป แต่ปรากฏว่า พบภรรยานอนอยู่ในห้องน้ำและร้องไห้ เมื่อสอบถามมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ภรรยาบอกว่าคลานมาเอง จากนั้นตนจึงอุ้มกลับไปนอนที่ห้อง
นายจีรศักดิ์ เผยอีกว่า ต่อมา ตนพาภรรยาไปแจ้งความ สภ.สองพี่น้อง สอบถามความจริงภรรยายืนยันว่าเป็นพี่เขยมากระทำชำเรา แต่ตอนเกิดเหตุภรรยาไม่กล้าบอกตน เพราะกลัวจะไปทำร้ายพี่เขย ตนติดตามคดีมาตลอด จนกระทั่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุกพี่เขย 3 ปี แต่สุดท้ายศาลฎีกากลับยกฟ้อง ทำให้ภรรยาตนรู้สึกตัดพ้อชีวิต ท้อที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ตนบอกภรรยาว่า ขอให้อยู่เพื่อลูกอีก 2 คน ทั้งนี้ ตนสงสัยว่าพยานหลักฐานทั้ง 2 ศาลชนะคดี แต่ศาลฎีกาใช้หลักฐานอะไรมาตัดสินทำให้ออกมาอีกทาง แต่ก็ยอมรับคำตัดสินของศาล
ด้าน ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวว่า วันนี้ญาติของผู้เสียชีวิตจากคดีข่มขืนกระทำชำเรา มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยที่เป็นญาติ โดยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก แต่ศาลฎีกายกฟ้อง สุดท้ายภรรยากินยาฆ่าตัวตาย ที่บ้านพี่เขยคู่กรณี จ.ปทุมธานี ทำให้มาร้องเรียนกับทนายรณณรงค์เพื่อช่วยเหลือทางความคดี ซึ่งผู้เสียชีวิตได้รับการดูแลเยียวยาค้าตอบแทนเรียบร้อยแล้ว
ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวอีกว่า ส่วนทางคดีนั้น ต้องไปทบทวนศึกษาช่องโหว่ของกฎหมายจากผู้มีความรู้ ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะที่สุดแล้วคำสั่งดังกล่าวเป็นที่มาทำให้เกิดการสูญเสีย ซึ่งหลักฐานต่างๆ ทั้ง 2 ศาลเพียงพอหรือไม่ ทำไมปลายทางถึงตัดสินออกมาอีกด้าน สำหรับกระบวนการรื้อฟื้นคดี คงไม่สามารถทำได้ เพราะผู้เสียหายเสียชีวิตไปแล้ว ทำให้การสอบสวนใหม่ไม่สามารถทำได้
สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3912/2564 ที่พนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายจักรวาล หรือ ดำ ปิ่นแก้ว จำเลยเรื่อง อนาจารและข่มขืนกระทำชำเรานั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2562 เวลากลางคืน จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย เพื่อสนองความใคร่ของจำเลย โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารผู้อื่น และให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา เนื่องจากผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ไม่พบเชื้ออสุจิในช่องคลอดของผู้เสียหาย แต่พบหลักฐานว่ากางเกงของผู้เสียหายที่ใส่ในคืนเกิดเหตุ เมื่อนำไปตรวจพิสูจน์แล้วพบ DNA ของจำเลยอยู่ที่กางเกงตัวดังกล่าวโดยไม่พบอสุจิ จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 (เดิม) ลงโทษจำคุก 3 ปี และให้จำเลยชำระเงินแก่ผู้เสียหาย 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่เกิดเหตุ จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ต่อมาจำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์ว่า ผู้เสียหายให้การในชั้นสอบสวน ว่า ขณะผู้เสียหายรู้สึกตัวขึ้นมามองเห็นจำเลยกำลังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่ในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ต่างกับที่ให้การในชั้นศาลว่าขณะเกิดเหตุจำเลยทำอะไรกับผู้เสียหายบ้าง ผู้เสียหายก็ไม่ทราบและผู้เสียหายอ้างว่าไม่รู้สึกตัว และที่สามีของผู้เสียหายให้การว่าได้นำกางเกงที่เป็นหลักฐานมาดมดูแล้วได้กลิ่นเหมือนอสุจิผู้ชายนั้น ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ก็ไม่พบคราบอสุจิของจำเลยที่กางเกงดังกล่าว และไม่พบผลตรวจ DNA ของผู้เสียหายในกางเกงดังกล่าวเลย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีพิรุธและยังมีความสงสัยว่าจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหาย โดยขึ้นคร่อมบนตัวผู้เสียหายและหลั่งน้ำอสุจิบนร่างกายผู้เสียหายหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยฐานกระทำอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 (เดิม) และยกคำร้องของผู้ร้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7