MGR Online - ปคม.ซ้อนแผนรวบหนุ่มแสบอ้างเป็นลูกน้อง “ผู้ช่วยต่อศักดิ์” ขู่อุ้ม-กรรโชกทรัพย์เหยื่อค่าจำนำรถยนต์
วันนี้ (7 ก.พ.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการ พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ทนงศักดิ์ ปันไชย ผกก.1 บก.ปคม. นำกำลังจับกุม นายสราวุฒิ กีรติกรภัทร อายุ 41 ปี ชาว กทม.ได้บริเวณร้านกาแฟชั้นล่างของศูนย์การค้าแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท กทม.
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนว่า มีบุคคลแอบอ้างว่ารู้จักกับ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ไปกรรโชกทรัพย์ผู้เสียหายในหลายพื้นที่ เหตุเกิดช่วงปี 2562 โดยมีการแจ้งความร้องทุกข์กับทางพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ซึ่งกรณีดังกล่าวทางผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ว่าตนเองได้รู้จักกับ นายสราวุฒิ ซึ่งได้อ้างตัวว่า เป็นน้องของ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ และภายหลังผู้เสียหายขาดสภาพคล่องทางการเงิน จึงได้นำรถยนต์ยี่ห้อเลกซัส ทะเบียน ฏฐ 885 กทม. มาจำนำไว้กับทางกลุ่มของผู้ต้องหาเป็นเงิน 80,000 บาท โดยนำรถมาวางเป็นประกัน
ต่อมาผู้เสียหายไม่สามารถหาเงินมาไถ่ถอนได้ตามกำหนด ผู้ต้องหารายนี้จึงได้ขายรถคันดังกล่าวให้กับผู้อื่น ภายหลังมีการติดตามรถคันดังกล่าวกลับคืนมาได้ แต่ทางนายสราวุฒิไม่ยอม อ้างว่า ต้องนำเงินจำนวน 200,000 บาท ไปให้กับผู้ครอบครองรถ จึงได้ติดตามทวงหนี้กับผู้เสียหายให้ชำระเงินจำนวนดังกล่าว แต่ทางผู้เสียหายแจ้งว่าได้ชำระเป็นเงิน 80,000 บาท แต่ทางผู้ต้องหาไม่ยอม จึงได้พูดจาข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกาย อีกทั้งระบุว่ามีทีมอุ้มชื่อบังหมัดคลองตันเป็นลูกน้อง
นอกจากนี้ ทางผู้ต้องหาได้มีการส่งตัวอย่างภาพข่าวที่มีการอุ้มโดยทีมงานของบังหมัด มาให้ผู้เสียหายดู เพื่อให้เกิดความเกรงกลัว ทำให้ผู้เสียหายต้องยอมโอนเงินจำนวน 25,000 บาท ให้กับผู้ต้องหา และได้มีการนัดส่งมอบเงินกันอีกจำนวน 50,000 บาท โดยนัดหมายกันที่ร้านกาแฟภายในศูนย์การค้าดังกล่าว เมื่อถึงเวลานัดหมายนายสราวุฒิ ได้เดินทางมาตามนัด ก่อนที่ทางผู้เสียหายจะส่งมอบเงินให้ ทางเจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุม ทันทีที่ผู้ต้องหาเห็นทางเจ้าหน้าที่ก็มีท่าทีตกใจ พร้อมกับพูดว่ามาจับกุมด้วยเหตุอะไร จากนั้นได้นำตัวไปค้นรถยนต์ ซึ่งจอดอยู่ที่บริเวณชั้นสามของอาคารจอดรถในห้างดังกล่าว ก่อนแจ้งข้อหากรรโชกทรัพย์และนำตัวไปสอบปากคำที่ บก.ปคม.ต่อไป
ต่อมาเวลา 16.30 น. เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวผู้ต้องหาไปทำการสอบปากคำที่ บก.ปคม. โดยใช้เวลาการสอบปากคำนานกว่า 2 ชม. โดยระหว่างการสอบปากคำมีผู้เสียหาย คือ นายเจตนิพัทธ์ ธรรมมะ อายุ 41 ปี ได้มาชี้ตัวพร้อมให้การว่า ตนได้รู้จักกับผู้ต้องหาเมื่อปี 2563 โดยมีคนแนะนำให้ว่าบุคคลดังกล่าวรู้จักกับผู้ใหญ่ที่สามารถดูแลเรื่องกฎหมายและรูปคดีให้ได้ ส่วนธุรกรรมที่ทำร่วมกันผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับรถยนต์และธุรกิจสีเทา ซึ่งผู้ต้องหาระบุว่า สามารถที่จะเคลียร์ให้ตนได้ โดยผู้ต้องหามีการอ้างถึงผู้ใหญ่ และมีตำแหน่งที่สูง จนทำให้ตนเกิดความเชื่อใจ ซึ่งการจ่ายเงินนั้น ได้จ่ายให้มาตลอดตั้งแต่ปี 63 จนรู้สึกว่าช่วงหลังให้ไม่ไหวแล้ว เพราะเริ่มเข้ามาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวและเรื่องครอบครัว รวมถึงมีการเช็กโทรศัพท์ด้วย โดยการข่มขู่เริ่มหนักขึ้น เมื่อช่วงปลายปี 64 ถึง ต้นปี 65 โดยยังข่มขู่ว่ารู้จักผู้ใหญ่เช่นเดิม มีทีมงานที่สามารถอุ้มไปได้ และมีการส่งตัวอย่างข่าวที่มีการอุ้มโดยทีมงานของบังหมัด ส่งรูปภาพและรถของบังหมัดมาให้ดู
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจได้อย่างไรว่าผู้ต้องหาไม่มีความเกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ นายเจตนิพัทธ์ กล่าวว่า มีผู้ใหญ่ตรวจสอบให้ว่า ผู้ต้องหาไม่ใช่คนที่รู้จัก พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ จริง จึงไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง เพื่อให้จับกุมดำเนินคดี จนสามารถจับกุมได้จากปฏิบัติการบุกจับในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนเงินที่ถูกกรรโชกไป พบว่า มีความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งสิ้นกว่า 10 ล้านบาท
ขณะที่ พล.ต.ต.วิวัฒน์ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้ชุดสืบสวนได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนถึงพฤติกรรมของนายสราวุฒิ ว่า มีการแอบอ้างว่ารู้จักกับทาง พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล จึงได้นำเรียน ผู้บังคับบัญชาก่อนที่ทาง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. จะสั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง กระทั่งพบว่ามีการแอบอ้างจริงจึงได้ทำการจับกุม ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบว่า มีข้อความหลายข้อความในแอปพลิเคชันไลน์ของผู้ต้องหาที่เข้าข่ายการแอบอ้างจริง นอกจากนี้ จากการตรวจสอบประวัติอาชญากรพบว่า ปี 62 ผู้ต้องหามีคดีฉ้อโกงจำนวน 2 คดี ที่ สภ.สัตหีบ ในเรื่องการออกเช็ค และ สภ.บางละมุง ในข้อหาฉ้อโกงปลอมแปลงเป็นบุคคลอื่น และร่วมกันฉ้อโกง
พล.ต.ต.วิวัฒน์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นจะทำบันทึกการจับกุมความผิดซึ่งหน้าในเรื่องกรรโชกทรัพย์ ส่ง สน.พระโขนง ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ ในส่วนผู้ต้องหานั้นมีการแอบอ้างผู้มีอิทธิพลหลายฝ่าย ตนได้โทรศัพท์ไปสอบถาม พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ แล้ว และได้สอบถามผู้ต้องหา ผู้ต้องหาได้ขอโทษและบอกว่าคำพูดอาจผิดเพี้ยนไป ทำให้เกิดความเสียหาย ส่วน พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ได้ให้ดำเนินการตามกฎหมาย หากมีการแอบอ้างจริง อย่างไรก็ตามขอฝากว่าในยุคออนไลน์ มีการฉ้อโกง หรือแอบอ้างที่รุนแรงมากขึ้น ขอให้ทุกคนตระหนักว่าอย่าหลงเชื่อคำกล่าวอ้าง โดยเฉพาะการทำธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น เว็บพนันออนไลน์ คนร้ายมักใช้ช่องทางดังกล่าวในการหาผลประโยชน์ ซึ่งกรณีนี้ อาจมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายเข้าใจว่าผู้ต้องหาเป็นน้องชายของ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง
ทั้งนี้ มีรายงานว่าทางผู้ต้องหาได้แอบอ้างในหลายกรณี โดยกรณีล่าสุดมีการแอบอ้างกับผู้เสียหายว่าสนิทกับนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ และขอเงินผู้เสียหาย โดยอ้างว่าเป็นค่าของขวัญวันเกิดของ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ด้วย