ศาลอุทธรณ์พิพากยืนยกฟ้องครอบครัวชัยภูมิป่าแส ฟ้องแพ่ง กองทัพบก เรียกค่าเสียหาย ลูกชายถูกวิสามัญฆาตกรรม ด้านทนายติดใจหลายประเด็น เตรียมสู้คดีชั้นฎีกา
วันนี้ (26 ม.ค.) ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ พ 2591/2562 ที่ นางนาปอย ป่าแส มารดาของ นายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมเยาวชนสิทธิมนุษยชน ชาวลาหู่ เป็นโจทก์ฟ้องกองทัพบกเป็นจำเลย ให้ชดใช้ทางละเมิด กรณีเจ้าหน้าที่ทหาร สังกัดกองทัพบก ได้วิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ที่บริเวณด่านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ต.ค .2563 ให้ยกฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์
ในวันนี้ นายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความ และ น.ส.จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว ทนายความ ครอบครัวนายชัยภูมิ และนางอังคณา นีละไพจิตร นักสิทธิมนุษยชน เข้าร่วมฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ ว่า พลทหาร สุรศักดิ์ รัตนวรรณ กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ โจทก็นำสืบถึงพฤติกรรมของผู้ตาย ก่อนเกิดเหตุโดยมีนายไมตรี จำเริญสุขสกุล ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ นางสาวเบ็ญจรัตน์ กองเมือง รุ่นพี่ของผู้ตาย นางสาวชิดชนก แก้วมณี และนางสาวกัญญ์ศิริ จันทรศรี ครูของผู้ตาย ที่โรงเรียนเชียงดาววิทยาคม ได้เบิกความประกอบเกียรติบัตรเอกสารแสดงผลการเรียนและรูปถ่ายกิจกรรมต่างๆ ของผู้ตาย รวมถึงภาพถ่ายบ้านของผู้ตาย ทำนองเดียวกันว่า ผู้ตายเป็นผู้มีผลการเรียนดีมาก เป็นนักกิจกรรมที่มีจิตอาสามีบทบาทในการเรียกร้องสิทธิของบุคคลไร้สัญชาติ มีภาวะผู้นำจนได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานนักเรียนโรงเรียนเชียงดาววิทยาคม เป็นผู้มีน้ำใจช่วยเหลือครูและเพื่อนในโรงเรียน เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการีและไม่มีพฤติกรรมหรือ ภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ
เห็นว่า พยานโจทก์ดังกล่าวข้างต้นไม่มีผู้ใดอยู่ในเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ เพียงแต่มาเบิกความเกี่ยวกับความประพฤติของผู้ตายว่าเป็นผู้มีความประพฤติดีไม่น่าเชื่อว่าจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษตามที่จำเลยกล่าวหา ส่วนพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์นั้น โจทก์มีนายอะขือ แช่เฉิน ชาวบ้านซึ่งพักอาศัยอยู่ไม่ไกลจากด่านที่เกิดเหตุ เบิกความประกอบภาพถ่ายด่าน
ที่เกิดเหตุ ว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 10 นาฬิกา พยานเห็นรถยนต์เก๋งสีดำขับไปจอดยังจุดตรวจค้น โดยมีเจ้าหน้าที่ประมาณ 2 ถึง 3 คน กำลังตรวจค้นรถ ต่อมาพยานได้ยินเสียงเอะอะและได้ยินเสียงปืนดัง 1 นัด จึงหันไปมองดูเหตุการณ์บริเวณท้ายรถดังกล่าว เห็นชายที่แต่งกายชุดทหารใช้เข่ากดตัวบุคคลหนึ่งลงกับพื้นและใช้มือตี ขณะที่ชายที่แต่งชุดทหารอีกนายหนึ่งใช้มือดึงและมีชายแต่งชุดทหารอีกนายหนึ่งใช้เท้าเตะบริเวณท้องของบุคคลดังกล่าวจนกระเด็นออกไป ส่วนบริเวณหน้ารถพยานเห็นบุคคลหนึ่งที่มากับรถยนต์เก๋งสีดำนั่งอยู่และไม่ได้เข้าช่วยบุคคลที่ถูกชายใส่ชุดทหารทำร้ายบริเวณหลังรถ
ต่อมาพยานเห็นบุคคลที่ถูกเตะวิ่งหลบหนีไป ชายที่แต่งกายชุดทหารที่ใช้เท้าเตะบุคคลดังกล่าววิ่งตามไปได้ 2 ก้าวก็ล้มลง ชายที่แต่งชุดทหารอีกนายจึงวิ่งตามข้ามร่องน้ำไปแล้วก็ล้มลง บุคคลที่ถูกเตะวิ่งไปทางร่องน้ำแล้วข้ามร่องน้ำไปทางป้อมตำรวจพยานได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ตะโกนพูดว่า “มาเร็ว มาเร็ว” จากนั้นก็มีคนพูดว่า “เอาปืนมา เอาปืนมา” แล้วได้ยินเสียงพูดว่า “ยิงเลย ยิงเลย” พยานจึงพาหลานขยับตัวถอยห่างออกไปจากต้นขนุนจุดที่ยืนออกไปไม่ไกล โดยขณะที่พยานเห็นบุคคลดังกล่าววิ่งหลบหนีไปทันทีไม่ได้เอาสิ่งของใดจากรถยนต์เก๋งสีดำไปด้วยและไม่เห็นว่าบุคคลดังกล่าว ถือวัตถุสิ่งใดวิ่งหลบหนีไปแต่อย่างใด จากนั้นพยานได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด แต่ไม่สามารถมองเห็นจุดที่ยิงเนื่องจากมีรั่วกั้นอยู่ ต่อมาไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก 2 นัด หลังจากนั้น มีชาวบ้านมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นร้อยคน พยานจะข้ามถนนไปดูที่จุดเกิดเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ทหารกั้นไว้ไม่ให้เข้า พยานเห็นผู้ตายถูกยิงเสียชีวิตนอนอยู่บริเวณใกล้ห้องน้ำของป้อมตำรวจ
ส่วนจำเลยมี จ่าสิบโท ณัฐพล พลทหาร สุรศักดิ์ รัตนวรรณ และ พลอาสาสมัคร อมรเทพ ฉุยฉาย มาเบิกความในทำนองเดียวกันว่า ในวันเกิดเหตุหลังจากเจ้าหน้าที่ทหารได้สั่งให้นายพงศนัย แสงตะหล้า และผู้ตายลงมาจากรถแล้ว เจ้าหน้าที่ทหารทำการตรวจค้นรถในส่วนของห้องโดยสาร และประตูฝากระโปรงท้ายรถแต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายระหว่างที่พลอาสาสมัครอมรเทพ เปิดฝากระโปรงหน้ารถเพื่อตรวจค้นห้องเครื่องยนต์ กระจังหน้า และหม้อกรอง ผู้ตายใช้มือขวากดที่มือของพลอาสาสมัครอมรเทพ และพูดว่า “พี่จะเปิดทำไมมันไม่มีอะไรหรอก” พลอาสาสมัคร อมรเทพ จึงตอบกลับไปว่า “ทำไมจะเปิดไม่ได้” จ่าสิบโท ณัฐพล ดึงมือของผู้ตายออกและทำการเปิดฝาหม้อกรองอากาศและไส้กรองอากาศ จึงพบวัตถุพันด้วยเทปสีดำจำนวน 2 ก้อน จากนั้นผู้ตายได้วิ่งหลบหนีและหยิบอาวุธมีดออกมา แต่พลทหารอาสาสมัคร อมรเทพ แย่งอาวุธมีดกลับมา ผู้ตายจึงหยิบวัตถุบางอย่างที่ห้องสัมภาระและวิ่งหนีไป พลทหาร สุรศักดิ์ วิ่งไล่ตามเห็นผู้ตายหยุดชะงักและทำท่าทางเหมือนจะถอดสลักระเบิดชูมือขวาขึ้น พลทหาร สุรศักดิ์ จึงใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงไปที่แขนซ้าย ซึ่งต่อมาภายหลังเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบภายในวัตถุ 6 ก้อน นั้นบรรจุยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีนจำนวน 6,800 เม็ด
เมื่อรับฟังคำพยานจำเลยดังกล่าวประกอบกับคำให้การในชั้นสอบสวนของนายพงศนัย ที่ขับรถมากับผู้ตาย ในวันเกิดเหตุ ลงวันที่ 17 มี.ค. 2560 ซึ่งเป็นเอกสารที่สถานีตำรวจภูธรนาหวายส่งมายังศาลเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2563 ตามที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียก นายพงศนัย ให้การไว้ว่า ตนเคยมีความสงสัยเรื่องที่ผู้ตายมีเงินฝากในบัญชีจำนวนมาก และในคืนวันก่อนเกิดเหตุผู้ตายก็ได้จอดรถยนต์คันที่ถูกตรวจค้นไว้บริเวณหน้าบ้านมารดาของผู้ตาย และเช้าวันเกิดเหตุนายพงศนัย เห็นผู้ตายเปิดรถและเปิดฝากระโปรงหน้ารถและเปิดหม้อกรองอากาศจุดที่เจ้าหน้าที่ทหารตรวจพบยาเสพติดให้โทษทิ้งไว้ โดยผู้ตายและญาติพี่น้องของผู้ตายหลายคนเดินเข้าออกบ้านอยู่หลายครั้ง และมีญาติของผู้ตายคนหนึ่งเข้าไปนั่งภายในรถ อีกทั้งผู้ตายพูดคุยโทรศัพท์อยู่บ่อยครั้ง จากนั้นผู้ตายก็ชับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้าน และขับเช้าออกอยู่หลายรอบ หลังจากที่ผู้ตายขับรถพานายพงศนัยออกมาถึงถนนใหญ่ ผู้ตายชักชวนให้นายพงศนัยลองขับรถ นายพงศนัย จึงเป็นผู้ขับรถคันดังกล่าวมาถึงด่านตรวจที่เกิดเหตุ และถูกเจ้าหน้าที่ทหารตรวจคันรถ ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารจะเปิดหม้อกรองอากาศ ผู้ตายไม่ยินยอมให้เปิดและเริ่มมีการแย่งเปิด เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารพบห่อวัตถุพันด้วยเทปพันสายไฟสีดำ เจ้าหน้าที่ทหารจึงตะโกนว่า “เฮ้ยจับมันไว้ ขนยามานี่หว่า” นายพงศนัย เชื่อว่า ผู้ตายน่าจะรู้เรื่องยาเสพติดให้โทษ เพราะผู้ตายไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ทหารตรวจค้นจุดที่ซุกช่อนยาเสพติดให้โทษ อีกทั้งผู้ตายต่อสู้ขัดขืนการถูกควบคุมตัวโดยตลอด
เห็นว่า ถึงแม้โจทก์จะมีนายอะซื่อ ซึ่งเป็นพยานคนกลางที่ไม่มีส่วนได้เสียกับคู่ความในคดี และเป็นประจักษ์พยานที่น่าจะมีน้ำหนักรับฟังได้ แต่กลับปรากฏจากคำเบิกความของนายอะซือ ว่า ที่ว่าเห็นผู้ตายถูกทำร้าย แต่เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับรายงานการชันสูตรพลิกศพของผู้ตาย กลับไม่ปรากฏร่องรอยหรือรอยฟกช้ำจากการถูกเตะแต่กลับพบรอยฟกช้ำที่ศีรษะ โดยได้ความตามบันทึกคำให้การของแพทย์หญิงปุยเมฆ เกษมถาวรศิลป์ แพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพผู้ตายว่ารอยฟกช้ำดังกล่าวอาจเกิดจากการถูกทำร้ายหรืออาจเกิดจากการล้ม เจือสมกับทางนำสืบของจำเลยที่ว่า ขณะใช้เขากดผู้ตายลงกับพื้นไม่มีการทำร้ายผู้ตายด้วยวิธีอื่น
ยิ่งเมื่อพิจารณารายงานการชันสูตรพลิกศพผู้ตายในส่วนทิศทางของกระสุนปืนถูกระบุไว้ว่า จากด้านหน้าไปด้านหลัง ด้านซ้ายไปด้านขวา ด้านล่างเยื้องขึ้นด้านบน ก็กลับสอดคล้องกับคำเบิกความของพลทหาร สุรศักดิ์ ที่ว่า ผู้ตายชะงักตัวหันด้านซ้ายมาหาแล้วใช้มือซ้ายกุมมือขวาแล้วเงื้อมือขวาขึ้นเพื่อจะขว้างวัตถุระเบิดหรือวัตถุบางอย่าง พลทหาร สุรศักดิ์ จึงใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงบริเวณต้นแขนซ้ายเหนือข้อศอกดังกล่าว ทั้งคำเบิกความของพยานจำเลยทั้งสามปากยังสอดคล้องกับคำให้การของนายพงศนัยที่ให้การในชั้นสอบสวนว่า เมื่อตรวจค้นรถยนต์ที่นายพงศนัยขับ โดยผู้ตายนั่งมาด้วยพบยาเสพติดให้โทษของกลาง ผู้ตายมีพฤติการณ์ขัดขวางไม่ให้พยานจำเลยทั้งสามเข้าตรวจค้นมาโดยตลอดและยังต่อสู้ขัดขวางพยาน จำเลยทั้งสาม คำให้การของนายพงศนัยในชั้นสอบสวนแม้เป็นเพียงพยานบอกเล่าแต่เป็นพยานที่สำคัญซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ อีกทั้งนายพงศนัยเป็นเพื่อนนักเรียนกับ ผู้ตายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะให้การใส่ร้ายผู้ตาย ทั้งได้ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุทันทีโดยมีทนายความและบิดาของนายพงศนัย ร่วมฟัง จึงน่าเชื่อว่าให้การตามความจริงอันเป็นการสนับสนุนทำให้คำเบิกความของพยานจำเลยทั้งสามที่ว่า ตรวจพบยาเสพติดให้โทษของกลางที่รถของผู้ตายและผู้ตายต่อสู้ขัดขวางพยานจำเลยทั้งสามโดยมีอาวุธมีดและวัตถุระเบิด มีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าคำเบิกความจาก
นายอะซือพยานโจทก์
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบของจำเลย การกระทำของเจ้าหน้าที่จำเลยจึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน
ด้าน นายรัษฎา กล่าวภายหลังศาลอุทธรณ์ยกฟ้องว่า ทางทนายความเคารพคำตัดสินของศาลแต่ก็ติดใจและไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะประเด็นกล้องวงจรปิดพี่ศาลไม่ให้ความสำคัญ แต่ให้น้ำหนักพยานบุคคล และศาลเห็นว่า กระสุนจากอาวุธสงครามของทหาร ที่ยิงเข้าต้นแขนและทะลุซี่โครงนายชัยภูมิ เป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิตนั้นเป็นการยิงเพื่อป้องกันตัวของเจ้าหน้าที่ทหารไม่ได้เป็นการวิสามัญฆาตกรรม รวมถึงกรณีการพิสูจน์ DNA ของนายชัยภูมิ บนวัตถุระเบิด ซึ่งยังมีข้อกังขาอยู่
นายรัชฎา ทนายความ เปิดเผยว่า จะปรึกษาทางครอบครัวนายชัยภูมิและเห็นว่าต้องต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด ซึ่งลักษณะของคดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างยกฟ้องนั้น มีกระบวนการที่จะต้องให้ผู้พิพากษาที่นั่งบัลลังก์หรือตัดสินในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์หรือทั้ง 2 ศาลที่ยกฟ้องคดีไปนั้น “รับรองว่าคดีนี้มีปัญหาสำคัญอันควรเข้าสู่การพิจารณาของศาลสูงหรือศาลฎีกา” ตามกระบวนการ ซึ่งฝ่ายโจทก์ จะดำเนินการหลังจากนี้
ด้าน น.ส.จันทร์จิรา กล่าวว่า รายละเอียดที่ศาลพิจารณายังมีประเด็นที่น่ากังวลและตั้งคำถาม โดยเฉพาะในส่วนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหาร ว่า หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกแล้วไม่มีกล้องวงจรปิดยืนยัน ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ส่วนในกรณีของนายชัยภูมินี้ ทหารระดับปฏิบัติยืนยันชัดเจนว่าผู้บังคับบัญชาให้สั่งทำสำเนาและสั่งลบภาพกล้องวงจรปิด ซึ่งน่าจะเรียกสำเนากล้องวงจรปิดมาได้แต่ศาลไม่รับพิจารณาแต่ให้น้ำหนักเพียงพยานบุคคล ซึ่งมีคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือของพยานบุคคลกับภาพจากกล้องวงจรปิดด้วย