“สรวิศ” โฆษกศาลยุติธรรม ยอมรับคลิป างรองอธิบดี เฉี่ยวชนรถตุ๊กตุ๊ก กลางเมืองเชียงใหม่ เป็นผู้พิพากษา อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด ยันไม่ปกป้องกันเอง
วันนี้ (31 ธ.ค.) กรณีเฟซบุ๊กเพจ “อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น part 2” ได้เผยแพร่วิดีโอคลิปขณะที่ชายรายหนึ่งขับรถยนต์ อีซูซุ มิวเอ็กซ์ สีเทา หมายเลขทะเบียน 9 กค 2596 กรุงเทพมหานคร พูดคุยกับเจ้าหน้าที่กู้ภัย หลังก่อเหตุชนกับรถตุ๊กตุ๊ก รถตำรวจ และรถยนต์กู้ภัยที่สี่แยกแสงตะวัน ชายคนดังกล่าวอ้างว่าตัดหน้ารถ อ้างว่าเป็นรองอธิบดี ชายคนดังกล่าวพยายามตัดบทว่าพอแล้วๆ ก่อนปิดกระจก เจ้าหน้าที่กู้ภัยพยายามเรียกให้ลงมาจากรถ ชายคนดังกล่าวอ้างว่าไร้สาระ แต่เจ้าหน้าที่กู้ภัยยืนกรานว่าให้ลงจากรถ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูอยู่
จากนั้นชายคนดังกล่าวได้ลงจากรถ แล้วพูดจาพยายามให้จบเรื่อง และให้ไปที่โรงพัก ซึ่งความจริงต้องรอร้อยเวรมาที่เกิดเหตุ ชายคนดังกล่าวยังอ้างว่า พี่บอกว่าไปโรงพัก แล้วขับรถมาปาดหน้า ก่อนจะชี้หน้าไปยังเจ้าหน้าที่กู้ภัย ถามว่าจะเอายังไงต่อไป ซึ่งตำรวจพยายามให้ชายคนดังกล่าวรอร้อยเวรมาที่เกิดเหตุ ชายคนดังกล่าวก็อ้างว่า “ไปโรงพัก” ก่อนจะพยายามขึ้นรถ แต่ตำรวจเข้าขัดขวางให้รอร้อยเวร จากนั้นชายคนดังกล่าวปิดประตูเสียงดังอ้างว่า “ผมเป็นรองอธิบดี ก็ผมบอกไปโรงพักตั้งแต่แรก แล้วผมจะหนีทำไม”
ตำรวจพยายามอธิบายว่าต้องรอร้อยเวรมาที่เกิดเหตุ แจ้งร้อยเวรแล้ว ชายคนดังกล่าวยังยืนกรานที่จะให้ไปคุยกันที่โรงพัก กระทั่งร้อยเวรมาที่เกิดเหตุ ชายคนดังกล่าวอ้างว่า “ผมไม่ต้องรอใครทั้งสิ้น แล้วคุณต้องการอะไร” ตำรวจพยายามอธิบายว่า เหตุมันเกิดแล้วออกมาไม่ได้ ต้องรอร้อยเวร ชายคนดังกล่าวพยายามเปิดประตูรถ บ่ายเบี่ยงว่าไปที่เกิดเหตุ ตำรวจบอกว่าไม่ต้อง ร้อยเวรมาแล้ว จากนั้นได้เดินไปที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ถือโทรศัพท์เพื่อถ่ายคลิป พยายามแบมือบอกว่าพอแล้ว เราต้องเอาเรื่องจริงมาพูด เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงได้อธิบายว่า เรื่องจริงคือขับรถชนแล้วหนีแล้วอ้างว่าเป็นรองอธิบดี
ล่าสุด นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 3 ได้โพสต์คลิปวิดีโอเหตุเกิดที่แยกแสงตะวัน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นซึ่งเป็นเหตุรถชนกัน โดยมีการกล่าวอ้างว่าเป็นรองอธิบดีภาค ซึ่งต่อมามีสื่อมวลชนรายงานข่าวว่าบุคคลในคลิปดังกล่าวเป็นผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ว่า จากการตรวจสอบแล้วพบว่าบุคคลในคลิปดังกล่าวเป็นผู้พิพากษาจริง ตอนนี้ทางสำนักงานศาลยุติธรรมกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นมาอย่างไร เมื่อได้ข้อเท็จจริงที่เเน่ชัด ก็จะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ยืนยันไม่มีการช่วยเหลือปกป้องกันให้เรื่องเป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนข้อเท็จจริง
ด้าน นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 3 ได้โพสต์คลิปวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าว ว่า ตนได้ตรวจสอบเเล้ว พบว่า บุคคลดังกล่าวไม่ใช่รองอธิบดีอัยการภาค 5 เเละบุคลากรของสำนักงานอัยการสูงสุดแต่อย่างใด ส่วนจะเป็นหน่วยงานใดเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกระบวนการต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ คลิปจากกล้องหน้ารถหน่วยกู้ภัยบันทึกไว้เมื่อเวลา 23.40 น. ของวันที่ 28 ธ.ค. 2564 ที่ผ่านมา ขณะที่ขับออกมาจากลานจอดรถ โครงการเลอตะวันพลาซา ต.ช้างคลาน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เลี้ยวขวาไปทางถนนศรีดอนไชย ก่อนจะผ่านสี่แยกวัดศรีดอนไชย ขณะที่ตำรวจกำลังเรียกตรวจรถยนต์อีซูซุ มิวเอ็กซ์ สีเทา ที่เพิ่งชนรถตุ๊กตุ๊ก ปรากฏว่า รถยนต์อีซูซุ มิวเอ็กซ์ ขับหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจ รถกู้ภัยได้พยายามตามรถยนต์อีซูซุ มิวเอ็กซ์คันดังกล่าว ก่อนที่จะชนกับรถกู้ภัยบริเวณข้างกำแพงวัดศรีดอนไชย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุนัก เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้ลงมาคุยกับเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าว กระทั่งเวลา 00.01 น. ของวันที่ 29 ธ.ค. 2564 รถยนต์อีซูซุ มิวเอ็กซ์ คันดังกล่าวได้ฝ่าออกจากรถกู้ภัยมุ่งหน้าไปทางถนนเจริญประเทศ ทำให้รถกู้ภัยต้องขับตามไปสกัดพร้อมบีบแตรให้จอด สุดท้ายรถคันดังกล่าวได้หยุดลงที่บริเวณสามแยกหน้าโรงแรมอนันตรา เชียงใหม่ รีสอร์ต ก่อนจะเกิดการโต้เถียงกับตำรวจและหน่วยกู้ภัยดังกล่าว
รายงานข่าวระบุว่า ผู้ก่อเหตุที่ขับรถยนต์อีซูซุ มิวเอ็กซ์ สีเทา คันดังกล่าว ระบุชื่อว่า นายชาญศักดิ์ สมประโยชน์ อายุ 59 ปี ชาว จ.สมุทรปราการ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบภาค 5 ส่วนผู้เสียหาย คือ นายไพรโรจน์ พรหมธารา อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยสมาคมกู้ภัยร่วมเชียงใหม่ล้านนา
หลังจากเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาคู่กรณีทั้งสองฝ่ายไปสอบสวนที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อเจรจา เบื้องต้นทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ พนักงานสอบสวนจึงให้ทดสอบด้วยวิธีการเป่าแอลกอฮอล์ โดยเจ้าหน้าที่กู้ภัยเป่าแอลกอฮอล์แล้วผลทดสอบเป็นศูนย์ ส่วน นายชาญศักดิ์ ไม่ยินยอมทดสอบการเป่าแอลกอฮอล์ เพราะยืนยันว่าตนเองเป็นผู้เสียหาย
ทาง ร.ต.อ.อมรเทพ ชุมวิสูตร รอง สว.สอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ จึงได้ให้ทั้งสองฝ่ายลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน และอาจจะเรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาสอบปากคำอีกครั้ง