ศาลเลื่อนอ่านฎีกา คดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ไป 26 ม.ค.ปีหน้า เหตุทนายแจ้งติดต่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้ แต่เจ้าหน้าที่ศาลได้ส่งหมายไปแล้วตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา
เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (16 ธ.ค.) ห้องพิจารณา 701 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีทัวร์ศูนย์เหรียญ หมายเลขดำ ฟย.46/2559 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 3 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสมเกียรติ คงเจริญ อายุ 62 ปี กก.ผจก.บริษัท ซินหยวน ทราเวล จำกัด, นางธวัล แจ่มโชคชัย อายุ 64 ปี กก.ผจก.บจก.ฝูอัน ทราเวล, บริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด, นายวสุรัตน์ โรจน์รุ่งรังสี อายุ 31 ปี กก.ผจก บจก.โอเอฯ, บริษัท รอยัลเจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท ไทยเฮิร์บ จำกัด, บริษัท บางกอก แฮนดิคราฟท์ เซ็นเตอร์ จำกัด, บริษัท รอยัลพาราไดซ์ จำกัด, นางนิสา โรจน์รุ่งรังสี อายุ 66 ปี กรรมการผู้จัดการทั้งสี่บริษัท ซึ่งเป็นมารดาของ นายวสุรัตน์, นายธงชัย โรจน์รุ่งรังสี อายุ 65 ปี สามี นางนิสา, บริษัท บ้านขนมทองทิพย์ จำกัด, น.ส.สายทิพย์ โรจน์รุ่งรังสี อายุ 40 ปี กรรมการผู้มีอำนาจ บจก.บ้านขนมทองทิพย์ ซึ่งเป็นบุตรของนายธงชัย และ นายวินิจ จันทรมณี อายุ 74 ปี กก.ผจก บริษัท ซินหยวน ทราเวล จำกัด และ บริษัท ฝูอันฯ เป็นจำเลยที่ 1-13 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 วรรคแรก, พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 และร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
กรณีสืบเนื่องเมื่อระหว่างวันที่ 24 มี.ค - 31 ส.ค. 2559 ต่อเนื่องกัน บริษัท ฝูอัน ทราเวล จำกัด นำนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาเที่ยวโดยไม่เสียค่าบริการ หรือที่เรียกว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” จากนั้นบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด จำเลยให้ใช้รถบัสจำนวน 2,500 คัน รับนักท่องเที่ยวฟรี โดยเป็นผู้กำหนดแผนการเดินทางให้มัคคุเทศก์และผู้ขับขี่นำรถไปจอดให้นักท่องเที่ยวแวะซื้อสินค้าจากร้านในเครือเดียวกับบริษัท โอเอฯ ซึ่งสินค้ามีราคาแพงกว่าท้องตลาดหลายเท่า แสดงฉลากไม่ถูกต้อง เป็นการขูดรีดนักท่องเที่ยว ไม่เป็นการแข่งขันเสรีทางการค้า อำพรางแบ่งปันผลประโยชน์ โดยบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด แบ่งปันผลประโยชน์ให้บริษัททัวร์ 30-40% ให้มัคคุเทศก์ 3-5% มีพฤติกรรมลักษณะเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำ ปกปิดวิธีการอันมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินของนักท่องเที่ยวศูนย์เหรียญชาวจีน จนเกิดความเสียหายมูลค่า 98 ล้านบาทเศษทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด
ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ให้ลงโทษปรับเฉพาะ จำเลยที่ 1, 2 เเละ 13 ผิดตาม พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวเเละมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 มาตรา 24, 82 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ให้ปรับรายละ 5 แสนบาทนอกจากที่เเก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1, 2 และ 13 ยื่นฎีกา
ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลา ทนายจำเลยที่ 1, 2 และ 13 แถลงต่อศาลว่า ไม่สามารถติดต่อนายสมเกียรติ จำเลยที่ 1 ได้ ไม่ทราบว่า ย้ายที่อยู่หรือไม่
ศาลตรวจสำนวนแล้ว ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ศาลได้ส่งหมายนัดให้จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ได้แจ้งหมายวันนัดให้นายสมเกียรติ จำเลยที่ 1 ทราบแล้ว แต่ยังไม่ได้รับหมาย จึงให้เลื่อนไปอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นวันที่ 26 ม.ค. 2565 เวลา 09.00 น.