MGR Online - อธิบดีราชทัณฑ์ เผยตรวจ ATK ผู้ต้องขังเรือนจำพิษณุโลก ติดโควิดกว่า 1,500 ราย เป็นกลุ่มสีเขียว มีอาการน้อย จัดให้ยาฟาวิพิราเวียร์ คาดคุมสถานการณ์ได้เร็วนี้
วันนี้ (13 ธ.ค.) นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ธ.ค. 64 เวลา 16.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย เป็นการพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่จากภายนอกทั้งหมด ขณะที่มีผู้ติดเชื้อที่รักษาหายเพิ่ม จำนวน 34 ราย โดยไม่มีรายงานการเสียชีวิตเป็นวันที่ 2 ทำให้มีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 1,677 ราย (กลุ่มสีเขียว 90.6 เปอร์เซ็นต์ สีเหลือง 9 เปอร์เซ็นต์ และสีแดง 0.4 เปอร์เซ็นต์) มีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 82,148 ราย หรือ 95.4 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ติดเชื้อสะสม 86,128 ราย เสียชีวิตสะสม 185 ราย คิดเป็น 0.2 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด
นายอายุตม์ กล่าวว่า ในวันนี้ พบการระบาดเพิ่มในเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก ส่งผลให้มีเรือนจำสีขาวลดลงอยู่ที่ 128 แห่ง และเรือนจำสีแดงเพิ่มเป็น 14 แห่ง ซึ่งในจำนวนดังกล่าว เป็นเรือนจำที่อยู่ระหว่างควบคุมการระบาด 6 แห่ง (ระบาดใหม่ 4 แห่ง คือ เรือนจำจังหวัดพิษณุโลก ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ เรือนจำอำเภอนาทวี และ เรือนจำอำเภอฝาง และที่ระบาดซ้ำในแดนบางส่วน 2 แห่ง คือ เรือนจำจังหวัดกาญจนบุรี และเรือนจำกลางเชียงใหม่)
นายอายุตม์ กล่าวถึงการประชุม ศบค.ยธ. โดยปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในเช้าวันนี้ พบว่าสถานการณ์โดยรวมเริ่มคลี่คลายและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจำนวนเรือนจำระบาดใหม่ที่ชะลอตัวลงในระยะนี้ ขณะที่การควบคุมการระบาดภายในเรือนจำ สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบและมีเรือนจำเตรียมพ้นจากการระบาดได้เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่า สถานการณ์ในช่วงปลายเดือน ธ.ค.นี้ จะดีขึ้นอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดซ้ำหรือระบาดในแดนเพิ่มอีก
“ส่วนสถานการณ์ในเรือนจำจังหวัดพิษณุโลกที่เป็นเรือนจำระบาดใหม่นั้น กรมราชทัณฑ์ได้รับรายงานว่า จากการประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลแม่ข่ายและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อเข้าตรวจหาเชื้อในผู้ต้องขังด้วยชุดตรวจ ATK พบผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 1,501 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ธ.ค.) ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้ต้องขังกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย และได้ให้ยาฟาวิพิราเวียร์ พร้อมวางแผนในการตรวจคัดกรอง คัดแยก และการดูแลรักษาอื่นๆ ตามมาตรฐานทางการแพทย์อย่างเป็นระบบ รวมทั้งได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และบุคลากร ทั้งจากส่วนกลางกรมราชทัณฑ์ เรือนจำในเขตพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนโรงพยาบาลแม่ข่ายและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในเร็วๆ นี้”
นายอายุตม์ กล่าวปิดท้าย ด้านการบริหารจัดการวัคซีนแก่ผู้ต้องขัง ปัจจุบัน มีผู้ต้องขังที่ได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 เข็ม หรือครบโดสแล้ว จำนวน 260,790 ราย หรือ 92.4 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำและทัณฑสถานทั้งหมด 282,118 ราย