สำนักงานอัยการสูงสุด แถลงพอใจผลคำพิพากษาศาลฎีกาสั่งจำคุก “เปรมชัย” และพวก คดีล่าเสือดำ และให้ร่วมจำเลยอีก 2 คน ชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้านบาท ชี้ หลักฐานทั้งประจักษ์พยานและวัตถุพยาน ซากสัตว์ อาวุธปืน เครื่องครัว มัดแน่นจำเลยดิ้นไม่หลุด
วันนี้ (8 ธ.ค.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และ นายประยุทธ เพชรคุณ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงผลคดีของ นายเปรมชัย กรรณสูตร กับพวก คดีฆ่าเสือดำ
นายอิทธิพร เปิดเผยว่า คดีนี้เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2561 อัยการจังหวัดทองผาภูมิ ได้ยื่นฟ้องนายเปรมชัย กรรณสูต จำเลยที่ 1, นายยงค์ โดดเครือ จำเลยที่ 2, นางนที เรียมแสน จำเลยที่ 3 และ นายธานี ทุมมาศ จำเลยที่ 4 ในข้อหาร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ) โดยไม่ได้รับอนุญาตและข้อหาอื่นๆ อีกหลายข้อหา
ซึ่งต่อมาวันที่ 19 มี.ค. 2562 ศาลจังหวัดทองผาภูมิ พิพากษาจําคุก นายเปรมชัย กรรณสูต นายยงค์ โดดเครือ จำคุก 16 เดือนจําคุก 13 เดือน นางนที เรียนแสน และ นายธานี ทุมมาศ จำคุก 4 เดือน และปรับ 10,000 บาท รอการลงโทษ 2 ปี จําคุก 2 ปี 17 เดือน โดยยกฟ้องจําเลยบางข้อหา โดยเฉพาะ นายเปรมชัย กรรณสูต ศาลยกฟ้องในข้อหาร่วมกันเก็บของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ) แต่ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนในข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ) แทน
วันที่ 24 พ.ค. 2562 อธิบดีอัยการศาลสูงภาค 7 ได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ทุกข้อหาและ ต่อมาวันที่ 12 ธ.ค. 2562 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทุกคน ตามที่พนักงานอัยการศาลสูงภาค 7 ยื่นอุทธรณ์โดยจำคุกนายเปรมชัย 2 ปี 14 เดือน จำคุก นายยงค์ 2 ปี 17 เดือน จำคุก นางนที 1 ปี 8 เดือน รอการลงโทษให้ตามศาลชั้นต้น และจำคุก นายธานี 2 ปี 21 เดือน หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทุกคนตามที่พนักงานอัยการได้ยื่นอุทธรณ์แล้วอธิบดีอัยการศาลสูงภาค 7 จึงมีคำสั่งไม่ฎีกาครั้งต่อมาวันที่ 31 มี.ค. 2563 จำเลยจำนวน 3 ราย ได้แก่ นายเปรมชัย นายยงค์ และ นายธานี ได้ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาและอธิบดีอัยการศาลสูงภาค 7 ได้แก้ฎีกาเรียบร้อยแล้ว
คดีนี้ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้วได้มีคำพิพากษาวันนี้ (8 ธ.ค.) ระบุว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น และไม่มีเหตุต่อการรอการลงโทษ แต่ต่อมาได้มีการแก้ไข พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 โดย พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแก้ไขเพิ่มเติมปี พ.ศ. 2562 ให้ยกเลิกมาตรา 55 การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดในส่วนนี้ตาม ป.อาญา มาตรา 2 คงจำคุกจำเลยที่ 1 คงจําคุก 2 ปี 14 เดือน จำเลยที่ 2 คงจำคุก 2 ปี 17 เดือน จำเลยที่ 4 คงจำคุก 2 ปี 21 เดือน ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้านบาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ให้ปรับแก้ไขดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่ เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้วถือว่า กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลักฐานสำคัญที่ทำให้นำมาสู่บทสรุปของคำตัดสินในวันนี้คืออะไร
นายประยุทธ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า จากที่ได้ดูข้อมูลคดีนี้มาแต่ต้น ตั้งแต่สำนักอัยการทองผาภูมิ ได้รับเรื่อง หลักฐานสำคัญที่ทำให้สำนวนแน่นหนา ประการแรก คือ ประจักษ์พยาน คือ ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ถูกสอบอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ประการถัดมา คือ วัตถุพยาน ได้แก่ ซากสัตว์ทั้งหลาย อาวุธปืน เครื่องใช้เครื่องครัว ซึ่งทั้งหมดทำให้นำไปสู่การทำสำนวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน รอบคอบและรัดกุม และวันนี้ก็ได้พิสูจน์ทั้งสามศาล ว่า ศาลได้มีคำพิพากษาตามที่พนักงานอัยการสั่ง
เมื่อถามว่า อัยการมีความคืบหน้าคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย ซึ่งประชาชนให้ความสนใจเช่นเดียวกับคดีเสือดำ
นายประยุทธ กล่าวว่า หลังจากมีการสั่งไม่ฟ้องคดีนี้เมื่อก่อนหน้า ทางอัยการได้ตั้งคณะทำงานชุดใหม่ขึ้นมา โดยมี นายอิทธิพรเป็นหัวหน้าคณะทำงานและตนเป็นกรรมการ และคณะทำงานเรามีคำสั่งในการฟ้องนายวรยุทธไป 2 ข้อหา คือ 1. การขับรถประมาท โดยคดีนี้อายุความเป็นเวลา 15 ปี เรื่องนี้เหตุเกิดเมื่อ 3 ก.ย. 55 จะหมดอายุความในวันที่ 3 ก.ย. 2570 และต่อไปคือข้อหาเสพโคเคน มีอายุความ 10 ปี และขาดอายุความในปี 2565 ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดว่าการจะสั่งฟ้องได้นั้น ต้องมีผู้ต้องหานำตัวไปสั่งฟ้องต่อศาล แต่ปรากฏว่า นายวรยุทธ หลบหนีออกนอกประเทศไทย ทางอัยการจึงแจ้งให้ตำรวจติดตามตัวออกหมายจับ แต่ว่าขณะนี้ระบุไม่ได้นายวรยุทธอยู่ในประเทศใด จึงต้องผ่านขั้นตอนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และตัวกฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน กำหนดภารกิจหน้าที่ของอัยการสูงสุดในฐานะผู้ประสานงานกลาง แต่จะเริ่มดำเนินการตรงนี้ได้ต่อเมื่อ ตำรวจที่เป็นผู้มีหน้าที่จับ ชี้ช่องบอกทางอัยการว่า นายวรยุทธ อยู่ประเทศไหน หากรู้ว่าอยู่ประเทศไหนอย่างไรเราจะมีทีมงานอัยการต่างประเทศที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญพร้อมดำเนินการ แต่ขณะนี้ที่ไม่สามารถดำเนินการใดๆ เพราะว่าไม่รู้พิกัดว่านายวรยุทธอยู่ที่ใด หากถามว่าขั้นตอนเวลานี้นั้นอยู่ขั้นตอนใด พอจะตอบได้คืออยู่ในขั้นตอนที่ตำรวจไปสืบหาตัวผู้ร้ายอยู่ที่ใด