MGR Online - ตำรวจร่วมมูลนิธิเมาไม่ขับ มอบรางวัลผู้บันทึกภาพการทำผิดกฎจราจร ตามโครงการ “อาสาตาจราจร” พบในรอบ 10 วัน จับกุมผู้ฝ่าฝืน 32,889 ราย ฟู้ดดีลิเวอรี 4,455 ราย ข้อหาขับย้อนศรเยอะสุด 20,671 ราย เตรียมต่อยอดช่วง 7 วันอันตรายปีใหม่ มอบรางวัลพิเศษ 7 คลิป 70,000 บาท
วันนี้ (30 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) พร้อมด้วยพล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. นายคณาวัฒน์ วงศ์แก้ว ผู้แทนคณะทำงานเสริมสร้างจิตสำนึกในการใช้รถใช้ถนนจากคลิปวิดีโอของวุฒิสภา นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ผู้แทนสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และ สถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการระดมบังคับใช้กฎหมายจราจรเข้มข้น และเปิดโครงการ “อาสาตาจราจร” โดยมอบรางวัลและเกียรติบัตรให้กับผู้ส่งภาพหลักฐานที่ได้รับคัดเลือก
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อยากเห็นการจัดระเบียบการจราจรที่ดีขึ้น เพื่อสร้างความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ตนในฐานะ ผอ.ศจร.ตร. กำหนดมาตรการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ขับขี่ที่ฝ่าฝืนกฎหมายและเป็นอันตรายต่อผู้อื่น โดยเน้น กวดขัน จับกุม ผู้กระทำผิดใน 4 ข้อหาสำคัญ ได้แก่ 1. ขับรถย้อนศร 2. ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร 3. ขับรถจักรยานยนต์บนทางเท้า และ 4. ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว หากพฤติการณ์การกระทำผิดตามข้อหาดังกล่าว มีลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้รถใช้ถนน หรือประชาชนทั่วไป จะมีการดำเนินคดีเพิ่มในข้อหา “ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น” ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับ 2,000-10,000 บาท และต้องยื่นฟ้องผู้กระทำผิดต่อศาล พร้อมทั้งมีคำร้องขอให้ศาลริบรถของกลาง
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ศจร.ตร.ได้เริ่มมาตรการดังกล่าว ตั้งแต่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้มีการระดมการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นครั้งแรกในวันที่ 15-24 พ.ย. 2564 รวม 10 วัน สามารถจับกุมผู้กระทำผิด ดังนี้ 1. ขับรถย้อนศร 20,671 ราย แบ่งเป็น รถจักรยานยนต์ทั่วไป 17,469 ราย รถจักรยานยนต์ดีลิเวอรี 2,283 ราย และรถจักรยานยนต์สาธารณะ 919 ราย 2. ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร 8,748 ราย แบ่งเป็น รถจักรยานยนต์ทั่วไป 6,914 ราย รถจักรยานยนต์ดีลิเวอรี 1,494 ราย และรถจักรยานยนต์สาธารณะ 340 ราย 3. ขับรถรถจักรยานยนต์บนทางเท้า 2,870 ราย แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์ทั่วไป 1,892 ราย รถจักรยานยนต์ดีลิเวอรี 669 ราย และรถจักรยานยนต์สาธารณะ 309 ราย 4. ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว 600 ราย แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์ทั่วไป 590 ราย รถจักรยานยนต์ดีลิเวอรี 9 ราย และรถจักรยานยนต์สาธารณะ 1 ราย
รวมผลการดำเนินการทั้ง 4 ข้อหา จับกุมรวมทั้งสิ้น 32,889 ราย แบ่งเป็น รถจักรยานยนต์ทั่วไป 26,865 ราย รถจักรยานยนต์ดีลิเวอรี 4,455 ราย และรถจักรยานยนต์สาธารณะ 1,596 ราย นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินคดีในข้อหาขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยอีก 54 ราย ซึ่งศาลพิพากษาลงโทษปรับจำนวน 41 คดี ส่วนโทษจำคุกให้รอการลงโทษ และสั่งริบรถ จยย.ตกเป็นของแผ่นดินอีกหลายกรณี ตัวอย่างเช่น กรณีการจัดทริป “น้ำไม่อาบ” ของ ภ.จว.เพชรบูรณ์ ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 1 เดือน และปรับ 2,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี และริบรถจักรยานยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุด้วย
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ศจร.ตร. ได้ร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับ, สวพ.91 และ จส.100 ในการทำโครงการ “อาสาตาจราจร” โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนร่วมกันทำหน้าที่พลเมืองดีในการตรวจตราการกระทำผิดฎหมายจราจร โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนส่งคลิปกล้องหน้ารถหรือคลิปจากมือถือ ที่บันทึกเหตุการณ์การทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนโดยส่วนรวม ส่งคลิปมายัง 4 ช่องทาง ได้แก่ ศูนย์โซเชียลมีเดีย ศปก.ตร., สวพ.91, จส.100 และ เพจมูลนิธิเมาไม่ขับ โดย ศจร.ตร. จะรวบรวมข้อมูลส่งต่อไปยังสถานีตำรวจพื้นที่ เกิดเหตุเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยตั้งแต่เริ่มโครงการ เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2564 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน มีประชาชนส่งคลิป การกระทำผิดกฎจราจรมายัง ตร. รวมทั้งสิ้น 36 คลิป คลิปที่สำคัญ เช่น คลิปรถจักรยานยนต์ขับรถย้อนศร บนทางด่วนบูรพาวิถี ซึ่งจากคลิปดังกล่าว ตร. ได้สืบสวนไปยังผู้ครอบครองรถ จนสามารถติดตามผู้ขับขี่ในวันเกิดเหตุมาดำเนินคดีได้ตามกฎหมาย โดยดำเนินคดี 6 ข้อหา โดยปรับจำนวน 5 ข้อหา ได้ดำเนินคดีกับผู้ขับขี่รายดังกล่าวจำนวน 6 ข้อหา ได้แก่ 1. ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต (ปรับ 500 บาท) 2. ไม่ชำระภาษีประจำปี (ปรับ 500 บาท) 3. ไม่จัดทำ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ปรับ 1000 บาท ) 4. ไม่สวมหมวกนิรภัย (ปรับ 500 บาท ) 5. ฝ่าฝืนป้ายเครื่องหมายจราจร (ปรับ 1,000 บาท ) 6. ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย (อยู่ระหว่างฟ้องคดีต่อศาล) หรือคลิปรถกระบะบรรทุกสิ่งของเต็มคันรถ จนเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อผู้ใช้ทาง บนทางหลวงหมายเลข 3701 พื้นที่ สภ.หนองขาม ได้ติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยดำเนินคดี 2 ข้อหา คือ 1. ไม่จัดให้มีสิ่งป้องกันการตกหล่น (ปรับ 400 บาท) และ 2. บรรทุกสูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด (ปรับ 500 บาท)
สำหรับ 2 คลิปข้างต้น มูลนิธิเมาไม่ขับ สวพ.91 และ จส.100 และคณะทำงานเสริมสร้างจิตสำนึกในการใช้รถใช้ถนนจากคลิปวิดีโอของวุฒิสภา ร่วมกันพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นคลิปตัวอย่างของการขับขี่ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ และภาพจากคลิปเป็นพยานหลักฐานสำคัญให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้ มูลนิธิเมาไม่ขับ จึงมอบเงินรางวัลให้กับเจ้าของคลิปเป็นเงินจำนวนคลิปละ 2,000 บาท พร้อมเกียรติบัตรจาก ศจร.ตร. และ คณะทำงานเสริมสร้างจิตสำนึกในการใช้รถใช้ถนนจากคลิปวีดิโอของวุฒิสภา
รอง ผบ.ตร.กล่าวด้วยว่า ศจร.ตร.ได้แสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่จะบังคับใช้กฎหมายตามมาตรการดังกล่าวอย่างจริงจัง เพื่อสร้างวินัยการขับขี่ของผู้ใช้รถ ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ให้ประชาชนสามารถใช้รถใช้ถนนด้วยความปลอดภัยอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ทั้งนี้ หลังจากดำเนินการเข้มข้นทุกพื้นที่ทั่วประเทศ พบผลเป็นที่น่าพอใจ เชื่อ ความร่วมมือจากประชาชน ในการสอดส่องการกระทำผิด จะช่วยลดอุบัติเหตุและการสูญเสียได้ โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ตำรวจจะบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะการสวมหมวกกันน็อก 100% ช่วง 7 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม ถึง 4 มกราคม 2565 พร้อมต่อยอดโครงการอาสาตาจราจร เปิดรับคลิปการกระทำผิดกฎจราจร พร้อมมอบรางวัล 10,000 บาท ให้ทุกวัน วันละ 1 คลิป
ด้าน พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวว่า ในส่วนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ร่วมกับบริษัทขนส่งอาหาร เน้นการสร้างวินัยจราจร ด้วยการจัดอบรมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ขนส่งอาหาร ควบคู่กับการสร้างกลุ่มไลน์ ระหว่างตำรวจและบริษัทขนส่งอาหาร แลกเปลี่ยนข้อมูลการขับขี่ผิดกฎหมายและไม่ปลอดภัย เพื่อป้องปรามการกระทำผิด หรือให้ทางบริษัทฯ บังคับใช้มาตรการต่างๆ กับผู้ขับขี่ในสังกัดได้ทันที
นายภูชิส (สงวนนามสกุล) ผู้ถ่ายคลิปรถจักรยานยนต์ขับรถย้อนศร บนทางด่วนบูรพาวิถี เปิดเผยว่า ตนติดตามจากสถานีวิทยุ จส.100 ในวันเกิดเหตุกำลังจะเดินทางไปทำงานและพบเหตุการณ์พบดี จึงบันทึกภาพไว้แล้วส่งให้ จส.100 ในทันที ทั้งนี้ สาเหตุที่ส่งเพราะต้องการรีบแจ้งเหตุ กลัวว่า จะเกิดอันตรายกับผู้ขับขี่ โดยตนได้ขึ้นทางด่วนบริเวณกิ่งแก้วได้ประมาณ 500 เมตร บริเวณเยื้องๆ กับโรงพยาบาลไทยนครินทร์ จุดเกิดเหตุอยู่บริเวณนั้นพอดี ก็เห็นเขาขับรถจักรยานยนต์สวนเลนขึ้นมา ในคลิปจะเห็นว่าเขาไม่สวมหมวกกันน็อค ปกติไม่เคยพบเหตุการณ์แบบนี้บนทางด่วน อาจพบเห็นบ้างจากข่าว