MGR Online - ปอท.บุกค้นห้องพักจับกุมแฮกเกอร์หนุ่ม อดีตพนักงานแอบขโมยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าบริษัท กว่า 6 แสนราย โพสต์ประกาศขายในโซเชียล สารภาพขายได้แล้ว 3 แสนบาท นำไปเล่นพนันออนไลน์
วันนี้ (7 ต.ค.) พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) มอบหมาย พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท., พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์ ผกก.1 บก.ปอท. สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. เข้าตรวจค้น บ้านเลขที่ 78/1121 ชั้น 32 อาคารเคนชิงตัน ถนนเทพารักษ์ ต.เทพารักษ์ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ ตามหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 561/2564 ลง 4 ตุลาคม 2564 เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 64 ทางบริษัทผู้เสียหายได้ตรวจพบว่ามีการประกาศบนเว็บไซต์เพื่อขายข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน กว่า 600,000 ราย โดยอ้างว่า เป็นข้อมูลของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ของบริษัท จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอท. และทำการสืบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของบริษัทดังกล่าว จนพบร่องรอยพยานหลักฐานต่างๆ ทำให้ทราบถึงข้อมูลของคนร้าย ก่อนเข้าตรวจค้นห้องพักพร้อมยึดของกลางที่ใช้ในการกระทำความผิด
จากการตรวจค้นห้องดังกล่าวพบ นายวรพล ฤทธิเดช ผู้ต้องหา ซึ่งเป็นอดีตพนักงานของบริษัทที่รับจ้างพัฒนาระบบส่วนผู้ใช้งานของบริษัทผู้เสียหาย อยู่ในห้องพักดังกล่าว และได้ตรวจยึดสิ่งของที่น่าเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดได้แก่ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ยี่ห้อ Apple จำนวน 1 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือจำนวน 2 เครื่อง และสมุดบัญชีธนาคารกสิกรไทย จำนวน 1 เล่ม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้เข้าไปลักลอบขโมยข้อมูลของบริษัทดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไป จำนวนกว่า 600,000 รายชื่อจริง จากนั้นนำข้อมูลไปขายในอินเทอร์เน็ต โดยรับชำระผ่านช่องทางสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งผู้ต้องหาได้รับประโยชน์จากการขายข้อมูลเป็นเงินจำนวนประมาณ 300,000 บาท และได้นำเงินที่ได้ไปใช้ในการเล่นการพนันออนไลน์
เบื้องต้นได้แจ้งข้อหา “เข้าถึง โดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้น มิได้มีไว้สำหรับตน, เข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน และกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้” ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
ทั้งนี้ กองบัญชาการสอบสวนกลาง และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จึงขอแนะนำวิธีการในการป้องกันอาชญากรรมในรูปแบบดังกล่าวข้างต้น ดังนี้ 1. บริษัทต่างๆ จะต้องระมัดระวังเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล หมั่นตรวจสอบบัญชีผู้ดูแลระบบหรือช่องทางที่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญของบริษัท และลบบัญชีของผู้ดูแลระบบหรือปิดกั้นช่องทางเข้าถึงข้อมูลที่ไม่จำเป็น เช่น กรณีพนักงานที่รับผิดชอบเปลี่ยนหน้าที่หรือลาออกจากบริษัท เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่สำคัญรั่วไหลไปสู่บุคคลภายนอก
2. กำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของพนักงานแต่ละคน โดยควรให้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญของบริษัทได้ และกำชับให้ผู้ที่มีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลเก็บรักษาบัญชีและรหัสผ่านให้ปลอดภัย และ 3. การสร้างบัญชีผู้ใช้งานของเว็บไซต์ต่างๆ ไม่ควรตั้งรหัสผ่านที่คาดเดาได้ง่าย หรือรหัสผ่านที่เหมือนกันในหลายเว็บไซต์ เพราะหากเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งทำข้อมูลดังกล่าวรั่วไหล ผู้ที่ได้ข้อมูลดังกล่าวไปจะไม่สามารถเข้าถึงบัญชีผู้ใช้งานของเราได้