รายการ “ถอนหมุดข่าว”ทาง NEWS1 โดย นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เครือผู้จัดการ วันที่ 13 ก.ค.64 นำเสนอรายงานพิเศษ “บิ๊กเล็ก ณัฐพล” ขุนพลคู่ใจบิ๊กตู่ รับศึกไหวไหม?
ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา หลังสถานการณ์โควิดของไทย ที่เข้าระลอก 3 มาสู่ระลอกที่ 4 โดยที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อทะลุเฉียดหลักหมื่นคน ตามคำคาดการณ์ของแพทย์ที่ออกมาส่งสัญญาณเตือน
หากดูภารกิจของ ศบค. ที่ผ่านมา แม้ย้ำคำว่า “ทำงานเชิงรุก” แต่เมื่อดูการปฏิบัติงานแล้ว ยังคงทำงานแบบ “รูทีน” ตามสถานการณ์ หรือ “ตามวงรอบ-แนวปฏิบัติประจำ” จึงเกิดคำถามว่ามี ศบค. ไว้ทำไม
จุดนี้เองทำให้ “ฝ่ายค้าน” จุดประเด็นขึ้นมากลางสภา โดยเสนอให้ ยุบ ศบค. ให้กลับไปใช้ “กลไกปกติ” แก้ปัญหาแทน
.
ฝ่ายรัฐบาลด้วยกัน ก็ออกมาวิจารณ์การทำงานของ ศบค. โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย หลังถูก “ยึดอำนาจ” จากที่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. เลือกหักกับ “พรรคภูมิใจไทย” หลังไม่ให้บทบาท “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข อยู่ในตำแหน่งที่มี “อำนาจตัดสินใจ” ในบางคณะกรรมการ
เช่น คณะทำงานจัดหาวัคซีนทางเลือก ที่ไม่มีชื่อนายอนุทิน รวมทั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ที่ นายอนุทิน รมว.สาธารณสุข และ นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ก็เป็นเพียง “เป็นที่ปรึกษา” เท่านั้น
แต่กลับตั้ง “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” เป็น ประธานกรรมการฯ และการตั้งศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 ก็กลับตั้ง เลขาธิการ สมช. เป็น ผู้อำนวยการศูนย์ดังกล่าว
.
ในสภาวะเช่นนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเหมือนอยู่ “ตัวคนเดียว” ซึ่งเป็นผลพวงจากการ “รวบอำนาจ” มาไว้ที่ตัวเองเป็นหลัก โดยมี “บิ๊กเล็ก”พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการ สมช. อยู่เคียงข้าง
ทว่า พล.อ.ณัฐพล จะอยู่เคียงข้างในตำแหน่งอีกเพียง 2 เดือนครึ่งเท่านั้น เตรียมเกษียณอายุราชการ 30ก.ย.นี้ เพราะตำแหน่งต่างๆที่ตั้งขึ้นมานั้น ยึดติดกับตำแหน่ง “เลขาธิการ สมช.” ไม่ใช่ พล.อ.ณัฐพล
ดังนั้นเมื่อ พล.อ.ณัฐพล เกษียณอายุราชการ ก็จะพ้นตำแหน่งเหล่านี้ไปด้วย ต้องติดตามต่อไปว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะแต่งตั้งให้ พล.อ.ณัฐพล อยู่ช่วยงานต่อหรือไม่ และจะไปนั่งตำแหน่งใด
.
ทั้งนี้ช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ มาบริหารประเทศตั้งแต่ยุค คสช. 7 ปีที่ผ่านมา มีเป็นนายทหารมานั่งเก้าอี้เลขาธิการ สมช. 4 คน ได้แก่ พล.อ.ทวีป เนตรนิยม พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ และ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา ซึ่งทั้งหมดไม่เคยทำงานในสภาความมั่นคงแห่งชาติ แต่ถูก “โยกข้ามห้วย” มายัง สมช. เพราะการจัดโผทหารไม่ลงตัว โดยมีพลเรือน-ลูกหม้อ สมช. เพียงคนเดียว ที่ได้เป็นเลขาธิการ สมช. คือ นายอนุสิษฐ คุณากร
.
จึงต้องจับตาว่า เลขาธิการ สมช. คนใหม่ จะเป็นคนใน สมช. หรือเป็น “ทหาร” ที่ข้ามห้วยมากอีกครั้ง ด้วยเหตุผลการจัดโผทหารไม่ลงตัว
.
สำหรับกรณี พล.อ.ณัฐพล เป็น แคนดิเดต ผบ.ทบ. ที่อาวุโสที่สุด เพราะจบ ตท.20- นายร้อย จปร.31 สามารถขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ต่อจากเพื่อนร่วมรุ่นคือ “บิ๊กแดง”พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์
แต่ด้วยเส้นทางการเติบโตใน ทบ. ของ พล.อ.ณัฐพล ที่เริ่มต้นชีวิตราชการเป็นผู้บังคับหมวด-ผู้บังคับกองร้อย ที่ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ ก่อนมาเติบโตสายยุทธการ จนขึ้นเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก และขึ้นตำแหน่ง 5 เสือ ทบ. ในยุค คสช. อีกทั้ง พล.อ.ณัฐพล ไม่ได้เป็น “ทหารคอแดง” จึงต้องหลีกทางให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ รุ่นน้อง ตท.22-จปร.33
.
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ณัฐพล ได้ชื่อว่าเป็น “มือทำงานด้านยุทธการ” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้งานมาตั้งแต่เป็น ผบ.ทบ. จนถึงเหตุการณ์รัฐประหาร 22 พ.ค.2557 เรื่อยมาจนถึงยุค คสช. ถือเป็นมือยุทธการที่ครบเครื่องในรั้ว ทบ. โดยเฉพาะงานด้าน กอ.รมน. ที่มีความถนัดและเชี่ยวชาญ ถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้ตั้งตำแหน่งพิเศษให้ พล.อ.ณัฐพล เป็น ผู้ช่วยผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาแล้ว
ซึ่งตามโครงสร้างของ กอ.รมน. นั้น ผบ.ทบ. จะนั่งตำแหน่ง รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ส่วน เสนาธิการทหารบก เป็น เลขาธิการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
.
ทั้งหมดนี้สะท้อนสิ่งที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไว้วางใจมอบหมายงานใหญ่ ศบค. ให้ “ทหาร” ที่ชื่อ พล.อ.ณัฐพล จัดการ มากกว่ามอบให้ “นักการเมือง” ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล และยิ่งตอกย้ำว่าลึกๆแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงไว้วางใจ “ทหารด้วยกัน” มากกว่า “นักการเมือง”
.
แต่อย่าลืมว่าศึกที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่นั้น ไม่ใช่ “ภัยความมั่นคงทางทหาร” แต่เป็น “ภัยพิบัติโรคระบาด” ที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ด้านสาธารณสุข จึงไม่ใช่เรื่องง่ายของ พล.อ.ณัฐพล ดังนั้นการตั้ง “ทหาร” ขึ้นมาเป็น “แม่ทัพเคียงข้าง” จึงเกิดคำถามตามมา ซึ่งที่ผ่านมา พล.อ.ณัฐพล ก็เจอกับกระแสวิจารณ์มากพอสมควร และต้องทำหน้าที่เป็น “หนังหน้าไฟ” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไปพร้อมๆกันด้วย
.