ตม.จับแก๊งชาวจีนลักลลอบปล่อยเงินกู้ผ่านแอปพลิเคชัน คิดดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด มีผู้กู้ตกเป็นเหยื่อกว่า 2 หมื่นคน เงินหมุนเวียนบัญชี 30 ล้านบาท
วันนี้ (2 เม.ย.) ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว ผกก.กก.3 บก.สส.สตม.และ พ.ต.ท.จักริน พิริยะจิตตะ สวญ.ตม.จว.ปราจีนบุรี นำกำลังจับกุมนางเหว่ย (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี นางหาย (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี นายยู (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี ทั้งหมดเป็นชาวจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ในข้อหาร่วมกันประกอบกิจการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลโดยผิดกฎหมายและเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ได้ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ถ.ท่าข้าม ซ.เทียนทะเล 7 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องบ้านพักใน ซ.สาธุประดิษฐ์ 41 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร พร้อมคนไทย 30 คน อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 30 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 20 เครื่อง และสมุดบัญชีที่ใช้ในการโอนเงินและรับเงินกว่า 20 บัญชี
พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวว่า ตำรวจรับแจ้งว่า มีการปล่อยเงินกู้ผ่านแอปพลิเคชั่น NEGU, NICE LOAN, CASH CARD, CASH LOAN ที่เรียกเก็บดอกเบี้ยสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด ชุดสืบสวนจึงสืบสวนจนทราบว่า กลุ่มนายทุนของแอปพลิเคชันดังกล่าวเป็นกลุ่มคนจีน ซึ่งว่าจ้างคนไทยให้ปล่อยสินเชื่อเงินกู้และติดตามทวงหนี้ โดยมีการตั้งบริษัทขึ้นมาอยู่ที่บริเวณแขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอหมายค้นต่อศาลอาญาธนบุรี และศาลอาญากรุงเทพใต้ เข้าตรวจค้นจับกุมได้ดังกล่าว
ทั้งนี้ พบว่า ขบวนการนี้มี นายหวัง นายทุนชาวจีน อยู่ที่ประเทศจีน เป็นหัวหน้าในการควบคุมดูแลกิจการ ซึ่งมี นางหาย ทำหน้าที่หาบัญชีที่ไทยและส่งโทรศัพท์มือถือที่ลงทะเบียนแอปพลิเคชันอินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง บัตรกดเงินและซิมการ์ดส่งไปให้ที่ประเทศจีน อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการเปิดบริษัท รับสมัครพนักงาน โดย นายเหว่ย จะเป็นคนดูแลในเรื่องของการแลกเปลี่ยนเงินข้ามประเทศ ส่วน นายยู ถูกส่งให้เข้ามาที่ประเทศไทย เพื่อดูแลระบบในการปล่อยสินเชื่อและการติดตามทวงหนี้
ทั้งนี้ จากการสืบสวนขยายผลพบว่า มีผู้เสียหายที่เป็นผู้กู้มากกว่า 20,000 คน และมีเงินหมุนเวียนในบัญชีที่ใช้ในการโอนและรับเงินจากผู้กู้กว่า 30 ล้านบาท โดยในการกู้เงินแต่ละครั้งจะถูกหักค่าธรรมเนียมร้อยละ 30-35 เช่น กู้ 2,000 บาท จะได้รับเงินเพียง 1,300 บาท และเมื่อครบ 7 วัน จะเสียดอกเบี้ย 7 บาท หากไม่ชำระจะเสียค่าปรับ 100 บาท และดอกเบี้ยอีกร้อยละ 1 ต่อวัน เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป