อัยการสั่งฟ้อง “เอกชัย” กับพวก คดีประทุษร้าย-กีดขวางขบวนเสด็จฯ ก่อนยื่นหลักทรัพย์คนละ 3 แสนบาทประกันตัว ศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตทั้งมดโดยไม่ตั้งเงื่อนไข
เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (31 มี.ค.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายเอกชัย หงส์กังวาน, นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง หรือ ฟรานซิส นักเคลื่อนไหวทางการเมือง, นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ หรือ ตัน ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง (Active Youth), นายชนาธิป ชัยชะยางกูร และ นายภาณุภัทร ไผ่เกาะ 5 ผู้ต้องหา เดินทางมารายงานตัวตามที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 นัดสั่งคดี กรณีที่พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต มีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ในความผิดฐานประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี ตาม ป.อาญา มาตรา110 กับข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ให้เกิดความวุ่นวาย มาตรา 215 และกีดขวางการจราจร กรณีชุมนุมใกล้ขบวนเสด็จฯพระราชินี เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563
นายเอกชัย กล่าวว่า วันนี้ได้เตรียมหลักทรัพย์มายื่นประกันตัว ก่อนหน้านี้ ในชั้นฝากขัง ศาลเคยไม่ให้ประกันตัว เพราะโทษสูงกลัวหลบหนี และอยู่ระหว่างการสอบสวน ต่อมาในภายหลังศาลจึงให้ปล่อยตัวชั่วคราว วันนี้อัยการนัดส่งฟ้องต่อศาล ซึ่งเวลาผ่านมานานเกือบ 5 เดือน หากตนหลบหนีก็ทำได้ แต่ตนไม่เคยคิดที่จะหนี ส่วนประเด็นที่เคยร้องขอให้อัยการสอบพยานเพิ่มนั้น อัยการก็รับไว้ แต่ยังไม่จำเป็นต้องพิจารณาตอนนี้ เข้าใจว่า วันนี้ส่งฟ้องไปก่อน ทั้งนี้ ตนไม่ได้มาขอความเมตตาจากศาล แต่ต้องการความเป็นธรรม
ขณะที่ นายบุญเกื้อหนุน ได้อ่านคำแถลงสรุปได้ว่า ไม่มีความประสงค์ หรือความพยายามที่จะกระทำตามข้อกล่าวหา และเรายืนยันในความบริสุทธิ์มาตลอด แต่หลังจาก 5 เดือนผ่านไป อัยการได้ตัดสินใจเตรียมส่งคดีฟ้องต่อศาลอาญา และจะเป็นช่วงการดำเนินการยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อไป ถ้าหากไม่สำเร็จ พวกเราทั้ง 5 คน จะต้องถูกขังทันที
ด้าน น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความผู้ต้องหา กล่าวถึงเรื่องการปล่อยชั่วคราว ว่า ตามกฎหมายผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี จะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน และก่อเหตุภยันตรายประการอื่น หรือก่อให้เกิดอุปสรรคต่อพนักงานสอบสวน ถ้าเอาข้อเท็จจริงมาประกอบกับข้อกฎหมาย ผู้ต้องหาทั้ง 5 จะต้องได้รับการปล่อยชั่วคราว 100 เปอร์เซ็นต์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ต้องหาได้เตรียมหลักทรัพย์คนละ 3 แสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวหากถูกฟ้องตกเป็นจำเลย จากนั้นในเวลา 11.00 น. ทางพนักงานอัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา นำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญา
ต่อมาที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายเอกชัย, นายบุญเกื้อหนุน, นายสุรนาถ, นายชนาธิป และนายภาณุภัทร์ เป็นจำเลยที่ 1-5 ต่อศาลแล้ว ศาลรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำ อ.778/2564 สอบคำให้การจำเลยทั้งหมดแล้ว จำเลยทั้งหมดแถลงให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี ศาลจึงนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐานต่อไปในวันที่ 26 เม.ย. 2564 เวลา 09.00 น.
ทนายความของจำเลยทั้ง 5 ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว นายเอกชัย หงส์กังวาน จำเลยที่ 1 กับ นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ หรือตัน จำเลยที่ 3 ได้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์คนละ 3 แสนบาท ส่วนนายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง หรือฟรานซิส จำเลยที่ 2, นายชนาธิป ชัยชะยางกูร จำเลยที่ 4 และนายภาณุภัทร์ ไผ่เกาะ จำเลยที่ 5 ได้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์คนละ 2 แสนบาท โดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ
สำหรับคำฟ้องคดีระบุพฤติการณ์สรุปได้ว่า กลุ่มคณะราษฎร 2563 ได้ชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันที่ 14 ต.ค. 2563 โดยเวลาประมาณ 14.30 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล ตลอดเส้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนได้ตั้งเครื่องกีดขวางหลายจุด ทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วนซึ่งมีจำเลยที่ 1-5 รวมอยู่ด้วย ได้แยกตัวออกมาจากขบวน เดินล่วงหน้าไปรวมตัวกันที่ ถ.พิษณุโลก ใกล้ทำเนียบรัฐบาลเพื่อรอขบวน ขณะนั้นตลอดเส้นทาง ถ.พิษณุโลก ยังไม่ปิดการจราจร เนื่องจากยังต้องดำรงไว้เป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินตามหมายกำหนดการขบวนเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ
จำเลยทั้งห้ากับพวกจำนวนหลายร้อยคนยืนบนพื้นผิวจราจร ถ.พิษณุโลก ช่วงตั้งแต่หน้าประตู 3 ทำเนียบรัฐบาล จนถึงเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ในลักษณะกีดขวางการจราจรโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนได้จัดแถวคู่ขนานขบวนเสด็จพระราชดำเนินตลอดแนวขบวน เพื่อเป็นแนวสกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้เข้ามาประชิดใกล้ขบวนเสด็จ จากนั้นตำรวจแถวหน้าได้ขยับเดินไปข้างหน้านำขบวนเสด็จให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าตามรถนำขบวน 4 คันแรกดังกล่าวไปอย่างช้าๆ
ในทันใดนั้น จำเลยทั้งห้ากับพวกได้ร่วมกันเดินเข้าไปขวางเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน โดยช่วยกันใช้กำลังผลักดันแถวแนวหน้าตำรวจควบคุมฝูงชนที่กำลังเคลื่อนเดินหน้านำขบวนเสด็จไปยังเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ เพื่อขัดขวางไม่ให้ขบวนเสด็จสามารถเคลื่อนผ่านขึ้นสะพานชมัยมรุเชฐไปยังแยกนางเลิ้งได้ โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งการนำ จำเลยที่ 2-5 กับพวก เดินเข้าไปขัดขวางเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน โดยร่วมกันใช้กำลังผลักดันแถวหน้าตำรวจควบคุมฝูงชนไม่ให้นำขบวนเสด็จพระราชดำเนินเคลื่อนที่ขึ้นไปข้างหน้าได้
เมื่อจำเลยทั้งห้ากับพวกไม่สามารถต้านทานแรงผลักดันของตำรวจควบคุมฝูงชนได้ จำเลยที่ 3 ได้สั่งการให้ผู้ชุมนุมนั่งลงบน ถ.พิษณุโลก ขัดขวางเส้นทางเสด็จ ทำให้ตำรวจควบคุมฝูงชนต้องหยุดรอตำรวจมาเสริมกำลังหน้าแถว ตำรวจได้ช่วยกันดึงและผลักดันพวกของจำเลยทั้งห้าที่นั่งขวางบน ถ.พิษณุโลก บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ จนจำเลยทั้งห้ากับพวกไม่สามารถต้านทานแรงผลักดันได้ จึงได้ยอมถอยออกไปจากเส้นทางขบวนเสด็จ แต่ยังคงยืนอยู่บนถนน ขณะที่ขบวนเสด็จกำลังเคลื่อนผ่าน จำเลยที่ 1, 4, 5 กับพวกได้ชูสามนิ้วใส่ขบวนเสด็จอีกด้วย
ขอให้ลงโทษในความผิดฐานร่วมกันพยายามกระทำการประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการให้เกิดความวุ่นวายฯ โดยจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นหัวหน้าหรือผู้สั่งการ, กีดขวางการจราจร และกีดขวางทางสาธารณะ ตาม ป.อาญา ม.110, 215, 385 และ พ.ร.บ.จราจรทางบก เหตุเกิดที่แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ