MGR Online - ผบช.ปส.แถลงจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติด ยึดยาบ้ากว่า 3 ล้านเม็ด ไอซ์ 520 กก. และกัญชา 400 กก.
วันนี้ (3 ก.พ.) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส. พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง ผบก.ปส.1 พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง ผบก.ปส.3 ร่วมแถลงการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด พร้อมของกลางยาบ้า 3.24 ล้านเม็ด ไอซ์ 520 กิโลกรัม และกัญชา 400 กิโลกรัม
พล.ต.ท.มนตรีกล่าวว่า คดีแรกจับกุมนายชัยวิชิต บุดสีดี อายุ 30 ปี และนายณัฐพล เอี้ยงกัณหา อายุ 27 ปี ในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าและสารไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฏหมาย ได้ที่ป้อมตำรวจทางหลวงคลองไผ่ ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา พร้อมของกลางยาบ้า 9 กระสอบ หรือ 3.24 ล้านเม็ด สารไอซ์ 13 กระสอบ หรือ 520 กิโลกรัม และรถกระบะ ภายหลังทราบว่ามีกลุ่มผู้ค้าลำเลียงยาเสพติดจากแนวชายแดนริมแม่น้ำโขง จ.นครพนม ไปส่งให้ลูกค้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ชุดจับกุมจึงจัดกำลังเข้าประจำจุดตามเส้นทางที่รถในขบวนการลำเลียงยาเสพติดวิ่งผ่าน
ต่อมาพบรถยนต์เป้าหมายขับไปตาม ถ.มิตรภาพ เข้าสู่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา และวิ่งต่อไปยัง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา จึงประสานด่านตรวจยานพาหนะสีคิ้ว ตรวจสอบรถยนต์เป้าหมาย แต่รถดังกล่าวได้ขับหลบหนี ชุดจับกุมจึงไล่ติดตามเรื่อยมาถึงตู้ยามทางหลวงคลองไผ่ ก่อนเข้าสกัดรถให้หยุด มีชายสองคนวิ่งหนีลงจากรถก่อนถูกจับกุมได้พร้อมของกลางทั้งหมดภายในรถ จึงนำส่งพนักงานสอบสวน บก.ปส.2 เพื่อสืบสวนสอบสวนขยายผล
ทั้งนี้ จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพโดยอ้างว่าเพิ่งทำเป็นครั้งแรก มีผู้ติดต่อจ้างให้ขนยาเสพติดล็อตนี้ในราคา 3 หมื่นบาท โดยผู้ที่จ้างวานจะให้คนนำรถที่มียาเสพติดมามอบให้ที่จุดนัดหมาย เพื่อให้ผู้ต้องหาขับรถไปส่งปลายทาง ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลการสืบสวนของตำรวจที่พบว่าผู้ต้องหาน่าจะขนยาเสพติดมาแล้วหลายครั้ง ขณะนี้เร่งขยายผลถึงตัวการใหญ่ซึ่งเป็นผู้สั่งการยาเสพติด คาดว่าเป็นเครือข่ายใหญ่
ส่วนคดีที่ 2 จับกุมนายวีระชัย ยิ่งคุณ อายุ 38 ปี และนายประสิทธิ์ศักดิ์ หรือเก๊า แซ่เห่อ อายุ 41 ปี ตามหมายจับศาลอาญาในข้อหาสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามที่ได้สมคบกัน ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 (คีตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยจับกุมนายวีระชัยได้หน้าบ้านหลังหนึ่ง ใน ม.6 ต.สันสลี อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ส่วนนายประสิทธิ์ศักดิ์ ถูกจับหน้าบ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ หมู่ 1 ต.แม่ศึก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ หลังขยายผลจับกุมเครือข่ายนายอภินันท์ ทัพพุ่ม พร้อมผู้ต้องหา 6 ราย ได้ที่ จ.นครสวรรค์ เมื่อปี 2563 พร้อมของกลางไอซ์ 100 กก.และเคตามีนอีก 150 กก.
ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ยึดทรัพย์สินของนายวีระชัย เป็นเอกสารการซื้อขายที่ดินสวนลำไย เนื้อที่ประมาณ 26 ไร่ ราคาประมาณ 1,500,000 บาท รถกระบะ ราคาประมาณ 800,000 บาท รถเก๋ง ราคาประมาณ 500,000 บาท รวมมูลค่าทั้งหมดประมาณ 2,800,000 บาท
และยึดทรัพย์สินของนายประสิทธิ์ศักดิ์ เป็นเอกสารการครอบครองที่ดินทำกิน เนื้อที่ประมาณ 60 ไร่ ราคารวมประมาณ 12,000,000 บาท อาคารที่พักอาศัย ชั้นเดียว พร้อมสิ่งปลูกสร้างใช้สอย ราคาประมาณ 1,000,000 บาท รถเก๋ง และรถกระบะรวม 7 คัน ราคาประมาณ 4,300,000 บาท รถไถยี่ห้อคูโบต้า ราคา 700,000 บาท เงินสด 3,940,000 บาท ท่อนไม้และไม้แปรรูปต้นจำปีขาว และไม้หวงห้ามจำนวนมากมูลค่าประมาณ 1,000,000 บาท รวมทรัพย์สินที่ยึดไว้ตรวจสอบ มูลค่ากว่า 23,040,000 บาท
คดีต่อมา จับกุมนางกมลวรรณ คามรักขิด หรือเจ๊ปู และนายกอบชัย คามรักขิด ในข้อหา “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” พร้อมของกลางกัญชา 400 กิโลกรัม จับกุมได้ที่ลานหน้าอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อ.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา หลังสืบสวนทราบว่า กลุ่มผู้ค้ายาเสพติดเครือข่าย เจ๊ปู จะลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่พื้นที่ตอนใน
กระทั่งวันเกิดเหตุ พบว่าเครือข่ายเจ๊ปูนำรถกระบะซุกซ่อนยาเสพติดมาจอดไว้บริเวณริมถนนใกล้กับโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.คำป่าหวาย อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบก่อนจะพบกัญชาซุกซ่อนบริเวณกระบะท้ายรถ ชุดจับกุมจึงสืบสวนขยายผลจนสามารถจับกุมนางกมลวรรณ และนายกอบชัย แล้วพาไปตรวจค้นที่พักอาศัย พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบได้แก่ รถกระบะ ราคาประมาณ 500,000 บาท ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างใน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ราคาประมาณ 2,000,000 บาท รวมมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 2,500,000 บาท
พล.ต.ท.มนตรีกล่าวว่า เครือข่ายยาเสพติดได้เปลี่ยนเส้นทางลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาทางภาคอีสานมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงด่านตรวจความมั่นคง โดยจะพยายามซุกซ่อนในรถกระบะ หรือรถบรรทุกที่มิดชิด คล้ายลักษณะรถขนของทั่วไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็อาศัยการข่าว และวิธีการสืบสวนเชิงลึกในการติดตามจับกุมเพื่อสกัดจับยาเสพติดก่อนทะลักเข้าพื้นที่ชั้นใน