MGR Online - กองปราบตั้งประเด็นสอบสวนให้ตำรวจท้องที่ใช้เป็นแนวทางสอบทุจริตโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” พบผู้ประกอบการ จ.ภูเก็ต หัวใส จัดทัวร์เข้าพักฟรีให้ดูเหมือนว่ามาใช้สิทธิจริง แล้วไปเบิกเงินจากรัฐหัวละ 3 หมื่นบาท
วันนี้ (1 ก.พ.) ที่ กองปราบปราม พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ ผบก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีทุจริตโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ว่า ขณะนี้ทางคณะพนักงานสอบสวนกองปราบ ได้มีการตั้งประเด็นการสอบที่จะนำไปใช้เป็นแนวทางให้กับทางตำรวจท้องที่ต่างๆเพื่อใช้สอบสวนประชาชนผู้ใช้สิทธิที่อาจเข้าข่ายกระทำผิดขึ้นไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีด้วยกันหลายประเด็น อาทิ ใช้สิทธิในโครงการเที่ยวด้วยกันหรือไม่, สมัครเข้าใช้สิทธิอย่างไร, มีวิธีการสมัครอย่างไร, ได้เข้าพักที่โรงแรมจริงตามสิทธิ์หรือไม่, ได้นำคูปองไปใช้สิทธิกับร้านค้า ร้านอาหาร หรือสถานที่ท่องเที่ยวหรือไม่ และนำไปใช้อย่างไร, หากไม่ใช้สิทธิ ได้รับผลประโยชน์อย่างไร จำนวนเท่าใด จะคืนเงินหรือไม่ และอีกหลายประเด็น
พ.ต.อ.เอนก กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในระหว่างดำเนินการสอบสวนประชาชนที่ร่วมกระทำผิด ทางคณะพนักงานสอบสวนกองปราบเองก็จะมีการหารือกับทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ ธนาคารกรุงไทย อีกครั้ง เกี่ยวกับกรณีของประชาชนว่าจะมีดำเนินการทางกฎหมายอย่างไร เนื่องจากความผิดในคดีดังกล่าวเป็นความผิด “ร่วมกันฉ้อโกง” หากยอมคืนเงินที่ฉ้อโกงไปก็สามารถยอมความได้ ต่างจากผู้กระทำผิดกลุ่มแรกที่เป็นผู้ประกอบการ โรงแรม ร้านค้า เจ้าของวอยเชอร์ (ใบสำคัญจ่าย เป็นหลักฐานทางบัญชี ที่แสดงผู้รับเงิน ผู้จ่ายเงิน ผู้อนุมัติ ผู้ตรวจสอบ รวมถึงรายการบัญชีที่ใช้ในการบันทึกบัญชี เพื่อใช้ในการอนุมัติการจ่ายเงิน) ต่างๆ ที่มีการกระทำผิดมากกว่าประชาชนทั่วไปหลายข้อหา
พ.ต.อ.เอนก กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ จากการตรวจสอบพยานหลักฐานต่างๆ เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีดังกล่าวยังพบว่า แผนประทุษกรรมในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ และ จ.ภูเก็ต จะค่อนข้างแตกต่างกัน โดยในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ ประชาชนที่ร่วมกระทำผิดจะได้รับเงินจากการขายสิทธิ อยู่ที่ประมาณ 500-1,500 บาท จากนั้นผู้ประกอบการโรงแรมก็นำสิทธิ์ดังกล่าวไปเบิกเงินช่วยเหลือจากภาครัฐคิดเป็นคนละ 9,000 บาท ส่วนที่ จ.ภูเก็ต ผู้ประกอบการโรงแรมจะให้ประชาชนบางกลุ่มประมาณ 30-40 คน ที่จัดเตรียมไว้มาเที่ยวที่พักฟรีเพื่อจะทำให้ดูเหมือนว่ามีประชาชนมาใช้สิทธิจริง จากนั้นก็จะนำสิทธิของประชาชนที่มีผู้จัดหามาให้จำนวนนับร้อยคน ไปเบิกเงินกับทางภาครัฐ ในอัตราคนละ 3 หมื่นบาท