MGR Online - “รมว.ยธ.” ยอมรับ ป.ป.ส. ขาดองค์ความรู้สารไตรโซเดียมฟอสเฟส แสดงผลเป็นสีม่วงเหมือนเคตามีน ย้ำไม่มีสลับของกลาง ส่วน “อัจฉริยะ” ฟ้องให้เป็นเรื่องของกฎหมาย
วันนี้ (24 พ.ย.) เวลา 09.30 น. บริเวณหน้าห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม 1 ชั้น 9 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (รมว.ยธ.) พร้อมด้วย นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ร่วมแถลงข่าวชี้แจงกรณีการจับกุมยาเคตามีน 11.5 ตัน ใน จ.ฉะเชิงเทรา แต่ตรวจสอบภายหลังพบว่าเป็นสารไตรโซเดียมฟอสเฟต
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การแถลงข่าวในวันจับกุมที่โกดัง จ.ฉะเชิงเทรา ตนขอยืนยันว่า เป็นการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นเคตามีน เพราะการใช้น้ำยาตรวจสอบปรากฏว่าเป็นสีม่วง แต่ผลจริงๆ ต้องรอจากห้องปฏิบัติการและผลยืนยันเป็นสารไตรโซเดียมฟอสเฟต ทำให้ต้องมีการเก็บตัวอย่างร่วมกันของ 3 หน่วยงาน ทั้ง ป.ป.ส. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองพิสูจน์หลักฐาน และนิติวิทยาศาสตร์ ส่วนหน่วยงานอื่นๆ จะมาช่วยตรวจสอบให้จบภายในสัปดาห์หน้าว่าของกลางทั้งหมดเป็นยาเสพติดหรือไม่ จำนวนมากน้อยเท่าใด จึงได้เสนอให้แบ่งตรวจสอบของกลางเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เบื้องต้นในสัปดาห์นี้ ส่วนที่เหลือค่อยทยอยตรวจสอบภายหลังให้ครบ รวมถึงการจัดสัมนาทางวิชาการกับหน่วยงานอื่นเพื่อปรับความเข้าใจใหม่และหาความรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสารไตรโซเดียมฟอสเฟส ซึ่งที่ผ่านมานั้น ป.ป.ส.ไม่เคยพบสารตัวนี้ ซึ่งเครื่องมือเทสคิตที่เราใช้อยู่ในขณะนี้เป็นมาตรฐานเดียวกับสากล
“ผมยอมรับว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับสารตัวนี้ เนื่องจากเป็นสารใหม่และไม่เคยปรากฏขึ้นในประเทศไทย ว่าหากเข้าเครื่องเทสคิตจะเป็นสีม่วงด้วย ซึ่ง UNODC บอกว่าประเทศอื่นเคยมีลักษณะนี้ แต่ในประเทศไทยถือเป็นครั้งแรก โดยจากนี้จะต้องมีการจัดเสวนาเพื่อสร้างองค์ความรู้และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนด้วย ทั้งนี้ คำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ผมพร้อมน้อมรับ ซึ่งการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆในกระทรวงยุติธรรม เราจะเร่งสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนโดยเร็วที่สุด” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนข้อสงสัยเรื่องการขนส่ง จัดเก็บหลักฐานหรือเปลี่ยนของกลางนั้น ต้องมีการตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการขนย้าย และให้ชี้แจงโดยเร็วที่สุด ส่วนการจัดเก็บหลักฐาน ตนยืนยันว่า มีห้องเก็บหลักฐานหนาแน่น และระบบราชการ เรื่องการเก็บหลักฐานต่างๆ รัฐมนตรีไม่มีอำนาจเกี่ยวข้องเลย วันที่ไปแถลงการจับกุม ตนต้องไปตามหน้าที่ หากไม่ไปคนจะหาว่าเราละเลยหน้าที่ ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าตนไม่เคยไปร่วมแถลงข่าวการจับกุมยาเสพติดเลย และตนจะเน้นการยึดทรัพย์ตัดวงจรเครือข่ายยาเสพติดมากกว่า
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ตนให้นักกฎหมายดูกรณี นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม แจ้งความ ปปป. หากประเด็นไหนทำให้เกิดความเสียหายฟ้องได้ก็ต้องฟ้องเพื่อให้ปรากฎข้อเท็จจริง ซึ่งตนพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ต้องมีผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้อยู่แล้ว เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่ขณะนี้ต้องเร่งหาข้อเท็จจริงว่าสารที่เรายึดมาได้ทั้งหมดนั้นมีการซุกซ่อนยาเสพติดไว้หรือไม่ นี่คือสิ่งที่เราต้องเร่งทำความจริงให้ปรากฏโดยเร็ว
“ผมได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด มีการออกคำสั่งไปแล้วเพื่อให้ตรวจสอบข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยมีปลัด ยธ. เป็นประธาน และมีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ เพื่อเร่งกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ และยืนยันว่าการตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าว ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งใคร เพราะการวิพากษ์วิจารณ์หากกระทบ ผม หรือ ป.ป.ส. ที่เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรงนี้ ยอมรับได้ แต่ห่วงที่จะกระทบผู้อื่นที่ทำให้เกิดความเสียหาย ต้องถูกดำเนินคดี ตรงนี้ไม่ควรเกิดการบิดเบือนข้อเท็จจริง”
ด้าน นายวิชัย เผยว่า สังคมสงสัยว่าทำไมขั้นตอนการดำเนินคดีถึงได้ล่าช้า ตนขอชี้แจงว่า คดีนี้เรายึดของกลางได้โดยไม่มีผู้ต้องหา ไม่เหมือนกับการจับกุมของกลางพร้อมผู้ต้องหาที่เป็นความผิดซึ่งหน้า และคดีนี้เป็นคดีระหว่างประเทศ เป็นการประสานงานมาจากประเทศไต้หวัน ดังนั้น อำนาจในการสั่งสอบสวนจะอยู่ที่ อัยการสูงสุด ทางตำรวจไม่มีอำนาจ ขั้นตอนคือ เมื่อ ป.ป.ส.รวบรวมหลักฐานให้กับตำรวจ ทางตำรวจจะทำเอกสารให้อัยการสูงสุด เพื่อสั่งตั้งคณะทำงานขึ้นมา ถึงจะมีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้ ซึ่งในส่วนของผู้ต้องสงสัยนั้น เรามีข้อมูลแล้ว แต่เรากำลังสืบไปให้ถึงผู้ร่วมกระบวนการในประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งเป็นผู้ร่วมขบวนการกับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมที่ไต้หวัน