xs
xsm
sm
md
lg

จำคุก 2 ปี 7 เดือน “บอลใต้” เซียนมวยดัง จ่อยิง “ดา สะพานใหม่” ดับคาสนามมวยลุมพินี

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


นายอำนาจ อินสุวรรณโณ หรือ “มวยหูบอลใต้” เซียนมวยและนักพากย์มวยชื่อดัง
ศาลอาญาสั่งจำคุก 2 ปี 7 เดือน “บอลใต้” เซียนมวยและมวยหูชื่อดัง ป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ ใช้อาวุธปืนยิง “ดา สะพานใหม่” เสียชีวิตหน้าสนามมวยลุมพินี เหตุโกรธเคืองชี้หน้ากันในเวที ส่วนลูกน้องอีก 2 รายให้ยกฟ้อง ด้านทนายความเตรียมหลักทรัพย์ 1 ล้าน ยื่นประกันตัวสู้คดีระหว่างอุทธรณ์

วันนี้ (17 พ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดียิงเซียนมวยเสียชีวิตที่สนามมวยลุมพินี หมายเลขดำที่ อ.98/2563 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอำนาจ อินสุวรรณโณ หรือมวยหูบอลใต้ อายุ 37 ปี เซียนมวยและนักพากษ์มวยชื่อดัง, นายทนงศักดิ์ หรือหิน เหตุหมัน อายุ 39 ปี และนายนพดล หรือบอย ทิพย์มณเฑียร อายุ 39 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐาน “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิดฆ่าผู้อื่น, ลักทรัพย์ และ พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน”

คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2563 ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2562 เวลากลางคืน จำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนสั้นออโตเมติก ยี่ห้อบาเร็ตต้า ขนาด 9 มม. ทะเบียน กท.5033809 ที่นายทนงศักดิ์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ส่งอาวุธปืนให้ยิง นายอัษฎา ทัพน้อย อายุ 48 ปี หรือ “ดา สะพานใหม่” เซียนมวยชื่อดัง 4 นัด กระสุนถูกบริเวณลำคอ ร่างกาย และแขนเสียชีวิต โดยระหว่างที่นายอัษฎาล้มลง นายนพดล จำเลยที่ 3 ยังเป็นผู้ช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่นายอำนาจ จำเลยที่ 1 กระทำผิดด้วยการแย่งอาวุธปืนสั้นออโตเมติก ยี่ห้อบาเร็ตต้า ขนาด 9 มม. ทะเบียน กท.54261018 ของผู้ตาย ก่อนที่ นายนพดล จำเลยที่ 3 จะลักเอาปืนกระบอกดังกล่าวหลบหนีไปโดยทุจริต เหตุเกิดบริเวณหน้าสนามมวยลุมพินี ถ.รามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกันแต่ให้การรับสารภาพในความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ขณะที่จำเลยที่ 2-3 ให้การปฏิเสธ

โดยวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวนายอำนาจ หรือ “มวยหูบอลใต้” มาจากจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ส่วนนายทนงศักดิ์ และนพดล จำเลยที่ 2-3 ที่ได้รับการประกันตัวก็เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมทนายความ ขณะเดียวกันก็มีบรรดาเซียนมวย เพื่อนและญาติของจำเลยเดินทางมาให้กำลังใจจำนวนมาก

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วมีประเด็นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายหรือไม่ โจทก์มี ร.ต.อ.อำนาจ อยู่สุข เจ้าพนักงานตำรวจ สน.บางเขน เบิกความว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2562 เวลาประมาณ 22.00 น. ขณะปฏิบัติหน้าที่ได้รับแจ้งทางวิทยุสื่อสารว่า มีการยิงกันที่บริเวณสนามมวยลุมพินี ถ.รามอินทรา จึงเดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงทราบว่าผู้ถูกยิงคือ นายอัษฎา ทัพน้อย หรือ “ดา สะพานใหม่” โดยมีพลเมืองดีนำตัวส่งโรงพยาบาล จากนั้นได้ตรวจสถานที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืน 4 ปลอก หัวกระสุนปืน 3 หัว จากการสอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ได้ความว่า มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหลายนัดแล้วหลบหนีไป จึงตรวจสอบกล้องวงจรปิดเห็นคนร้ายสวมเสื้อคอกลมสีดำคาดขาว กางเกงขายาวสีดำ ต่อมาทราบว่าคนร้ายคือ นายอำนาจ หรือ “บอลใต้” จำเลยที่ 1

ขณะที่เพื่อนผู้ตายเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้ชวนพยานไปดูมวยที่สนามมวยลุมพินี เมื่อถึงสนามมวยได้ซื้อตั๋วเข้าไปดูมวย เมื่อมวยคู่ที่ 3 จบลงผลปรากฏว่าเสมอกัน มีการโต้เถียงกันระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้ตาย ซึ่งทั้งคู่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ตั้งแต่ไปดูมวยที่สนามมวยราชดำเนิน แต่ไม่ถึงขั้นทำร้ายกัน ระหว่างการชกมวยคู่ที่ 3 เสมอกัน ผู้ตายได้ตะโกนด่ากรรมการในจังหวะนั้นจำเลยที่ 1ได้หันไปมองหน้าผู้ตายและมีการโต้เถียงกัน เมื่อมวยคู่ที่ 6 จบลง ผู้ตายได้ออกมาด้านนอกพบกับตนเองแล้วนั่งดื่มน้ำที่ร้านนอกสนามมวย ต่อมาเมื่อมวยคู่ที่ 7 จบลง กลุ่มของนายอำนาจ จำเลยที่1 เดินออกมาพบกับผู้ตายบริเวณบันไดด้านข้างสนามมวยลุมพินี ต่อมาเห็นผู้ตายกับนายจิมมี่ปลุกปล้ำกันอยู่บนบันไดและลงมาบริเวณด้านล่างบันได หลังจากนั้นเห็น จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงประมาณ 5 นัด ตนเองจึงเข้าไปดึงกระเป๋าของผู้ตายเนื่องจากในกระเป๋ามีเงินอยู่จำนวนมาก เมื่อจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้ววิ่งไปทางสนามกอล์ฟ

ขณะที่ พ.ต.ท.สราวุธ บุตรดี พนักงานสอบสวนเบิกความเป็นพยานว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2562 เวลา 22.00 น. ขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ร้อยเวรสอบสวนอยู่ที่สน.บางเขน ได้รับแจ้งว่ามีเหตุยิงกันที่สนามมวยลุมพินีจึงแจ้งผู้บังคับบัญชาและฝ่ายพิสูจน์หลักฐานและแพทย์เดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ จากการชันสูตรพลิกศพพบปลอกกระสุน 4 ปลอก หัวกระสุน 3 หัว สืบสวนแล้วทราบว่าคนร้ายคือจำเลยที่ 1 ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2562 จำเลยทั้งสามคนได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน จึงแจ้งข้อหาจำเลยที่ 1 ว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนามีและพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน โดยไม่ได้รับอนุญาต ยิงปืนโดยใช่เหตุ ซึ่งจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพและจำเลยที่ 1 ยังให้การว่าที่ยิงผู้ตายนั้น เนื่องจากผู้ตายได้ใช้อาวุธปืนเล็งมาตนเอง จึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย เพื่อป้องกันตัว ต่อมาเมื่อผู้ตายถูกยิง ก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ผลการชันสูตรพลิกของแพทย์รายงานระบุผู้ตายถูกผู้ต้องหาใช้อาวุธปืนยิงที่ลำคอและลำตัว จนถึงแก่ความตาย ประกอบกับจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนยิงถึงแก่ความตายจริง

มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

โจทก์มีพ่อค้าขายของ อยู่ที่สนามมวยลุมพินีมานาน เบิกความเป็นพยานว่า ในวันเกิดเหตุได้ขายลูกชิ้นและน้ำทั้งในและนอกสนามมวย เดินเข้าออกตลอดเวลาที่มีการชกมวย หลังจากมวยคู่ที่ 3 จบลงเซียนมวยต่างพากันมุงที่บริเวณชั้น 2 (หรือล็อก 2) ภายในสนามมวยซึ่งมีการโต้เถียงกันระหว่างผู้ตายกับนายอำนาจ หรือบอลใต้ จำเลยที่ 1 ที่ทำหน้าที่พากษ์มวย เมื่อถึงมวยคู่ที่ 4 ผู้ตายก้เดินออกมาด้านนอกเวทีมวย ส่วนจำเลยที่ 1 ก็ทำหน้าที่พากษ์มวยต่อ ผู้ตายมานั่งอยู่ที่บริเวณชั้น 2 ด้านนอกประตูทางเข้า ยืนอยู่กับพวกอีกประมาณ 3 คน ต่อมาพักหนึ่งก็มีพวกของผู้ตายมาเพิ่มอีกประมาณ 10 คน ต่อมาเห็นกลุ่มวัยรุ่นอีกประมาณ 20 คนมายืนอยู่บริเวณแถวศาลพระพรหมด้านทางออก ซึ่งปกติบริเวณนั้นจะมีรถของทหารจอดอยู่เพื่อรับส่งเซียนมวยที่เดินทางกลับไปขึ้นรถไฟฟ้า เห็นว่ากลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวไม่ใช่บุคคลที่มาเล่นมวยหรือมาดูการแข่งขันมวย จึงเข้าไปบอกกับจำเลยที่ 1 ว่าเมื่อจะเดินทางกลับให้ระวังตัว ต่อมามีชายชื่อบังมัด ทราบว่าเป็นบุคคลที่เคารพนับถือในบรรดาเซียนมวยด้วยกัน ได้เข้าไปพูดคุยกับจำเลยที่ 1 ให้ระวังตัวเช่นเดียวกัน เนื่องจากผู้ตายจะไม่ยอมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากเรื่องศักดิ์ศรี ต่อมาเมื่อการชกมวยจบลง เซียนมวยต่างทยอยออกมาด้านนอก รวมถึงจำเลยที่ 1 และเห็นผู้ตายเดินตามจำเลยที่ 1 มา ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืนขึ้น 1 นัด และมีเสียงตะโกนว่า “ไอ้บอลกับไอ้ดายิงกันแล้ว” เซียนมวยต่างวิ่งหลบหนี ตนเดินไปที่ร้านและได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก 3-4 นัดในระยะใกล้เคียงกัน เห็นผู้ตายนอนอยู่ และมีคนเข้าไปช่วยเหลือ

ขณะที่พยานโจทก์อีกราย ซึ่งเป็นเซียนมวยเบิกความว่า วันเกิดเหตุได้เดินทางไปที่สนามมวยลุมพินี เวลาประมาณ 21.00 น.ได้จอดรถจักรยานยนต์เสร็จแล้วเดินเข้าไปสนามมวยพบผู้ตาย ได้สอบถามผู้ตายว่าทำไมจึงไม่เข้าไปดูมวย ผู้ตายบอกว่าไม่เล่นมวยวันนี้ เนื่องจากอารมณ์เสีย เนื่องจากมีปากเสียงกับจำเลยที่ 1 ต่อมาเมื่อการชกมวยเสร็จเซียนมวยและจำเลยที่ 1 ได้เดินออกมาด้านนอก ผู้ตายพบจำเลยที่ 1 ได้ถามว่าจะเอาอย่างไรผู้ตายบอกว่าแล้วจะเอาอย่างไร แต่ก็ไม่มีเรื่องชกต่อย ทำร้าย จำเลยที่ 1 กับพวกได้เดินลงมาด้านล่างบันได เห็นจำเลยที่ 2 ส่งอาวุธปืนให้กับจำเลยที่ 1 ตนจะเข้าไปหาผู้ตาย ขณะเดียวกันปรากฏว่ามีนายจิมมี่วิ่งขึ้นมาด้านบน กอดปล้ำกับผู้ตายแล้วทั้งผู้ตายและนายจิมมี่ได้หล่นลงมาด้านล่างบันไดและมีชายอีกคนหนึ่งได้มากดแขนผู้ตายไว้ จังหวะเดียวกันจำเลยที่ 1 ก็วิ่งเข้ามาใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 3-4 นัด

นอกจากนี้ยังมีเซียนมวยที่อยู่ในเหตุการณ์เบิกความอีกว่า ตนสนิมสนมกับทั้งผู้ตายและจำเลยที่ 1 ระหว่างมวยคู่ที่ 3 จบลงผลปรากฏว่าเสมอกัน ทำให้ผู้ตายไม่พอใจจำเลยที่ 1 เนื่องจากเล่นมวยคนละฝ่าย จำเลยที่ 1 และผู้ตายชี้หน้ากัน มีผู้ไปห้ามปรามแต่ผู้ตายไม่ยินยอม และผู้ตายพูดกับตนเองว่าไม่ยอม ตนเห็นว่าเหตุการณ์น่าจะเอาไม่อยู่ จึงโทรศัพท์เรียกบังมัด ซึ่งทุกคนเคารพและนับถือในวงการมวย ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่จ.ปทุมธานี เมื่อบังมัดมาถึงสนามมวยลุมพินีได้เข้าไปเจรจาทั้งสองฝ่าย แต่ปรากฎว่าผู้ตายไม่ยอม ต่อมาเมื่อมวยคู่ที่ 7 จบ บังมัดก็เข้าไปเจรจากับผู้ตายอีกครั้งแต่ผู้ตายยังไม่ยินยอม ขณะนั้นเห็นลูกน้องของผู้ตายอยู่บริเวณด้านนอกสนามมวยประมาณ 4-5 คน เมื่อการชกมวยเลิก ตนจึงเดินออกมาติดๆกับผู้ตายเห็นผู้ตายส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องไปปิดทางเข้าออก ขณะนั้นจำเลยที่ 1 ยังเดินมาไม่ถึงบริเวณบันไดทางลง เห็นรถยนต์ยี่ห้อฟอร์จูนเนอร์ สีดำ ของจำเลยที่ 1 จอดอยู่และขณะนั้นถูกปิดทางไว้ไม่ให้นำรถยนต์ออก ตนเห็นจำเลยที่ 1 เดินไปที่รถยนต์คันดังกล่าว แต่ไม่สามารถขึ้นรถได้ จำเลยที่ 1 ก็ถอยมาอยู่บริเวณด้านหลังรถ ในขณะเดียวกันนายจิมมี่ก็ยืนอยู่ในระยะประชิด และวิ่งขึ้นไปบนบันได จังหวะนั้นเห็นผู้ตายชักอาวุธปืนขึ้นมา มีการกอดปล้ำกันระหว่างนายจิมมี่กับผู้ตาย ต่อมาทั้งคู่หล่นลงด้านล่างบันได และได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ซึ่งเชื่อว่าเป็นเสียงปืนจากปืนของผู้ตาย เมื่อตนเห็นก็หันหลังวิ่งออกไป ในช่วงจังหวะเดียวกันก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด

ด้าน พ.ต.ต.สิชล พินิจนัย เจ้าพนักงานตำรวจกลุ่มตรวจอาวุธปืนและเครื่องกระสุน กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ซึ่งเป็นผู้ตรวจอาวุธปืนและเขม่าดินปืน เบิกความว่า จากการตรวจสอบที่มือของผู้ตายพบสารแอนติโมนี ซึ่งเป็นสารที่สันนิษฐานว่าผู้ตายเกี่ยวข้องกับการยิงปืน

เพราะฉะนั้น เห็นว่าตามคำให้การของพยานโจทก์ ที่เบิกความว่าผู้ตายได้ใช้อาวุธปืนและเล็งไปทางผู้ตายกับพวกและมีแสงไฟที่ปลายกระบอกปืน หลังจากนั้นเจ้าพนักงานก็ได้ตรวจดีเอ็นเอหาเขม่าปืนที่บริเวณมือของผู้ตายก็พบ และสันนิษฐานว่ามีการใช้อาวุธปืน ซึ่งพยานโจทก์ต่างเบิกความว่า ก่อนที่จะได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3-4 นัด ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1-2 นัด เมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วจึงน่าเชื่อได้ว่า เสียงปืนที่ดังขึ้น 1-2 นัดนั้น น่าจะเป็นเสียงปืนที่ดังขึ้นจากการยิงของผู้ตายก่อน หลังจากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น 3-4 นัด จะเห็นว่าพยานโจทก์ต่างเบิกความสอดคล้องต้องกัน ฟังได้ว่าผู้ที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายคือ จำเลยที่ 1 แม้พยานบางปากจะเบิกความกันว่าผู้ตายไม่มีอาวุธปืน แต่จากการชันสูตรของเจ้าพนักงานตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ยืนยันได้ว่าผู้ตายได้ใช้อาวุธปืนหรือมีการยิงปืน เมื่อศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารรวมถึงภาพถ่ายแล้ว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะสั้นๆและเร็วมาก จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายก็เนื่องมาจากการที่ผู้ตายกำลังจะใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 1 สาเหตุเนื่องจากโกรธแค้นที่เกิดจากการโต้เถียงกันสนามมวยตั้งแต่มวยคู่ที่ 3 ถึงคู่ที่ 7 ซึ่งเห็นว่าระยะเวลาการชกมวยถึง 4 คู่ มีเวลาเกินกว่า 1 ชั่วโมง ผู้ตายได้จัดเตรียมต่างๆเช่น เรียกพวกมาที่สนามมวย ดักรอจำเลยที่ 1 ภายนอกสนามมวย ทั้งนี้น่าเชื่อว่าจะต้องการทำร้ายจำเลยที่ 1 อันเกิดจากความโกรธแค้นและไม่ใช่เหตุที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อ การที่ผู้ตายใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 1 ก่อนจึงเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงตัวแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 3-4 นัด เห็นว่าเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ส่วนจำเลยที่ 2-3 นั้นพยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือจำเลยที่ 1 และยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาลักเอาอาวุธปืนของผู้ตาย เนื่องจากเป็นเหตุการณ์เร่งด่วนและมีเหตุอันสมควรตามพฤติการณ์และภายหลังได้นำมาให้เจ้าพนักงานตำรวจแล้ว ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2-3

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 68, 69 และ พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 3 ปี ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 14 เดือน ส่วนความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี ส่วนความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนมีทะเบียนของบุคคลอื่น จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษ จำคุก 4 เดือน ฐานพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไปในเมืองฯ จำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 7 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2-3 ให้ยกฟ้อง

ภายหลังนายอนุวัฒน์ น่าชม ทนายความจำเลยที่ 1 กล่าวว่า จะยื่นคำร้องขอประกันตัวนายอำนาจ หรือ “บอลใต้” ระหว่างอุทธรณ์ โดยเตรียมหลักทรัพย์ไว้จำนวน 1 ล้านบาท และจะอุทธรณ์สู้คดีประเด็นว่า จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิง เนื่องจากป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ซึ่งต้องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น