MGR Online - น.2 เผยแบ่ง 3 โซนคุมพื้นที่ชุมนุมพรุ่งนี้ ไม่ใช้เครื่องกีดขวางการจราจร ส่วนรถเมล์ดูตามความเหมาะสม ขู่ใครทำให้เสียหายต้องรับผิดชอบ ใช้มาตรการ ป.วิเด็ก มีแค่ม็อบเฟสติวัลแจ้งขออนุญาต น.5 แจ้งเส้นทางหลีกเลี่ยง-แนะนำ ด้านรองโฆษกชี้ส่อผิดทำให้เสียทรัพย์-หมิ่น เหตุล้อมรถภาคใต้อยู่ระหว่างตรวจสอบ
วันนี้ (13 พ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น.และ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.แถลงการเตรียมความพร้อมดูแลความสงบเรียบร้อย และการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร กรณีชุมนุมเห็นต่างทางการเมืองในวันพรุ่งนี้ (14 พ.ย.)
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า ความพร้อมในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมในวันพรุ่งนี้ (14 พ.ย.) จะมีการชุมนุมสำคัญ 3 กลุ่ม ได่แก่ “กลุ่มนักเรียนเลว” บริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ถนนราชดำเนินกลาง ต่อเนื่องอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เวลาช่วงบ่ายยังไม่กำหนดเวลาชัดเจน พื้นที่ สน.นางเลิ้ง และ สน.สําราญราษฎร์, “กลุ่มผู้หญิงปลดแอก บริเวณแยกคอกวัว เวลา 16.00-19.00 น. พื้นที่ สน.ชนะสงคราม และม็อบเฟสติวัล บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เวลา 14.00-24.00 น. พื้นที่ สน.สําราญราษฎร์ และ สน.ชนะสงคราม
บช.น.ได้จัดผู้รับผิดชอบเหตุการณ์โดยแบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ ถนนราชดำเนินกลาง (แยกพระรูป-แยก จปร.-แยกมัฆวาน-แยกผ่านฟ้าลีลาศ-อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย) พื้นที่ บก.น.1 รับผิดชอบโดย พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ รอง ผบก.น.1 รรท.ผบก.น.1, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (ถนนราชดำเนินกลาง-สะพานผ่านพิภพลีลา-สนามหลวง) พื้นที่ บก.น.6 รับผิดชอบโดย พล.ต.ต.เมธี รักพันธุ์ ผบก.น.6 และชุดแก้ไขปัญหากรณีกลุ่มผู้ชุมนุมออกนอกพื้นที่ หรือจัดการชุมนุมในพื้นที่อื่น รับผิดชอบโดย พล.ต.ต.สหรัฐ ศักดิ์ศิลปชัย รอง ผบช.น.ใช้กำลังตำรวจทั้งหมด 34 กองร้อย
เบื้องต้นยังไม่มีการวางเครื่องกีดขวางในเส้นทางการจราจร มีในบางจุดที่อาจตั้งแนวตำรวจเพื่อเตือนกลุ่มผู้ชุมนุม ขณะนี้มีเพียงกลุ่มม็อบเฟสติวัลที่แจ้งขออนุญาตชุมนุม ตำรวจอยู่ระหว่างการกำหนดเงื่อนไขตามมาตรา 14, 15 และ 16 พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ในส่วนกลุ่มนักเรียนเลวจะทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจยากขึ้นหรือไม่ เนื่องจากเป็นเด็กและเยาวชน ตำรวจยึดถือหลักสิทธิและเสรีภาพ ใช้มาตรการต่อเด็กและเยาวชนตาม ป.วิเด็ก และจะไม่ใช้มาตรการที่รุนแรง
“จะเกิดความวุ่นวายเหมือนครั้งก่อนจนต้องใช้น้ำฉีดหรือไม่ ทุกอย่างเป็นตามระเบียบขั้นตอนตามกฎหมาย และอยู่ตามสถานการณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุม ถ้าชุมนุมโดยสงบเรียยร้อยและปราศจากความรุนแรง หรืออาจเกิดอันตราย ตำรวจจะใช้มาตรการตามกฎหมาย ส่วนการเปิดใช้บริการสถานีรถไฟฟ้า MRT สนามไชย จะมีการเสด็จพระราชดำเนินนั้น ตำรวจมีความพร้อมในการถวายอารักขา และดูแลความสงบเรียบร้อยกลุ่มผู้ชุมนุม” น.2 กล่าว
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวถึงการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า ได้มีการดำเนินคดี 2 ส่วน พื้นที่ สน.สําราญราษฎร์ ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ มีผู้ถูกดำเนินคดี 14 ราย และพื้นที่ สน.ชนะสงคราม สำนักงานเขตพระนคร ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษข้อหา พ.ร.บ.ความสะอาดฯ สามารถพิสูจน์ทราบตัวบุคคล 3 ราย หลังจากนี้พยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งเป็นวัตถุพยานจะถูกส่งไปยัง สน.สำราญราษฎร์ เพื่อนำมาประกอบหลักฐานดำเนินคดี พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะอีกส่วนหนึ่ง
กรณีสหภาพแรงงาน ขสมก.ให้ตำรวจรับผิดชอบค่าเสียหาย ที่นำรถเมล์มาจอดกีดขวางในการสกัดกลุ่มผู้ชุมนุม ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ไม่ได้นิ่งนอนใจก่อนหน้านี้ได้ประสาน ขสมก.เพื่อขอนำรถเมล์มาใช้ ได้หารือร่วมกับ ผอ.ขสมก.และตัวแทน ขสมก.เป็นแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐด้วยกัน ขสมก.ก็อนุญาตแล้ว ทั้งนี้ ไม่ว่า ขสมก.จะวิ่งเอง หรือตำรวจนำมาใช้ในการปฏิบัติราชการ ถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใดมากระทำให้เกิดความเสียหาย ผู้ที่กระทำต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ส่วนจะนำรถเมล์มาใช้ในการชุมนุมอีกหรือไม่ ก็ต้องดูความเหมาะสมโดยจะมีการหารือร่วมกัน ยืนยันว่าไม่ได้ปัดความรับผิดชอบไปยังแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะใครทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา เหตุที่ต้องนำเมล์มาใช้ก็เป็นหนึ่งในการพิจารณาตามความเหมาะสม เนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐทั้งคู่
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกความเสียหายที่เกิดขึ้น จะเป็นพยานหลักฐานที่นำสู่การฟ้องร้อง และดำเนินคดีกับกลุ่มผู้กระทำผิด คดีปิดสนามบินได้ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 522 ล้านบาท ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้จำเลยทั้งหมดชดใช้ค่าเสียหาย, คดีวางเพลิงเผาทรัพย์อาคารพาณิชย์บริเวณแยกราชปรารภ มีการฟ้องร้องจำเลย 13 ราย ศาลยกฟ้อง 9 ราย และพิพากษาลงโทษชดใช้ค่าเสียหาย 3 ราย เป็นแกนนำผู้กระทำผิดจริง ส่วนอื่นๆ เป็นหน่วยราชการทั้งกรุงเทพมหานคร (กทม.) และ ตร.ศาลฎีกายกฟ้องหมด และคดีปิด ปตท.ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้จำเลยทั้ง 4 ราย ชดใช้ค่าเสียหาย 9.7 ล้านกว่าบาท ในส่วนนี้มีการดำเนินคดีมาโดยตลอดขอย้ำว่า ขสมก.ไม่ต้องเป็นห่วง
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวถึงความคืบหน้าคดีทำร้าย น.ส.ฐิติมา บุตรดี หรือแบม อายุ 19 ปี ว่า พนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก ได้รับคำร้องทุกข์ไว้ตามคดีที่ 1173/2563 ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำผิดทั้งหมด 11 ราย สามารถพิสูจน์ทราบตัวบุคคล 2 ราย อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบตัวบุคคล 9 ราย ขณะนี้มีผู้ต้องหา 2 ราย คือ นายธนวินท์ ฟักสุขจิตต์ อายุ 32 ปี และนายศราวุธ ประยูร อายุ 29 ปี ได้ดำเนินคดีข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย และร่วมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ป.อาญา มาตรา 298 และ 215 ขณะเดียวกันได้ออกหมายเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องอีก 9 ราย เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับผู้กระทำผิด
พล.ต.ต.จิรสันต์กล่าวว่า กรณีการชุมนุมในวันพรุ่งนี้ (14 พ.ย.) บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งแต่เวลา 14.00 น. บช.น.ขอให้หลีกเลี่ยงเส้นทางตั้งแต่เวลา 12.00 น. โดยเส้นทางที่อาจได้รับผลกระทบ และควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ถนนราชดำเนินใน, ถนนหลานหลวง, ถนนราชดำเนินกลาง, ถนนดินสอ, ถนนราชดำเนินนอก, ถนนตะนาว, ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า, ถนนวิสุทธิกษัตริย์, ถนนจักรพรรดิพงษ์, สะพานพระราม 8 และสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า
สำหรับเส้นทางที่แนะนำเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ ได้แก่ (เส้นทางจากฝั่งพระนคร-ฝั่งธนบุรี) ด่วนยมราช - ถนนสวรรคโลก - ถนนราขวิถี - สะพานกรุงธน (ซังอี้), ถนนพระราม 6 - ถนนพระราม 1 - ถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม - ถนนเยาวราช - ถนนจักรวรรดิ์ - สะพานพระปกเกล้า, ถนนพระราม 4 - ถนนเยาวราช - ถนนจักรวรรดิ์ - สะพานพระปกเกล้า และถนนพระราม 4 - ถนนสาทรใต้ - สะพานตากสิน
(เส้นทางจากฝั่งธนบุรี-ฝั่งพระนคร) คู่ขนานลอยฟ้า - ทางด่วนศรีรัช - ไปแจ้งวัฒนะ หรือจตุจักร, คู่ขนานลอยฟ้า - ทางลงสิรินธร - สะพานกรุงธน (ชังชี) - ถนนราชวิถี - ถนนพระราม 6, สะพานพระปกเกล้า - ถนนจักรเพชร - ถนนมหาไชย - แยกสามยอด - ถนนเจริญกรุง - ถนนพระราม 4, สะพานพระปกเกล้า - ถนนจักรเพชร - ถนนมหาไชย - แยกสามยอด - ถนนเจริญกรุง - แยกเอสเอบี - ถนนวรจักร - ถนนบำรุงเมือง - ถนนพระราม 1, สะพานพุทธยอดฟ้า - ถนนจักรเพชร - ถนนอัษฎางค์ - ถนบำรุงเมือง - ถนนพระราม 1 และสะพานตากสิน - ถนนสาทรเหนือ - ถนนพระราม 4
พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวถึงการดำเนินคดีกรณีปิดล้อมรถที่ภาคใต้ว่า จากที่ปรากฏตามสื่อมีการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นในเขตพื้นที่ต่างๆ รวมถึงภาคใต้ ประเด็นจะอยู่ที่เรื่องความเข้าใจผิด หรือไม่เข้าใจผิดอะไรก็แล้วแต่ โดยหลักแล้วในการเข้าล้อมรถลักษณะแบบนั้น ถ้ามีความชัดเจนว่ามีการกระทำความผิดหลายส่วนที่เกิดขึ้น เช่น ถ้ามีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถ อาจเป็นความผิดทำให้เสียทรัพย์, ถ้ามีการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม ด่าทอ หรือพูดในลักษณะหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นซึ่งหน้าก็จะเป็นความผิดตามที่ปรากฏ อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง และรอผู้เสียหายที่แท้จริงร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี ตำรวจดำเนินคดีไปตามอำนาจหน้าที่ พิจารณาไปตามข้อเท็จจริง ส่วนความผิดทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองต้องดูข้อเท็จจริงเท่าที่ปรากฏ ในการรวมตัวลักษณะแบบนี้ต้องมีเหตุมีผล ถ้ามีเจตนาทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองต้องพิจารณาข้อเท็จจริงอีกที