พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ร่วมชุมนุมม็อบ 19 กันยา ยืนยันไม่มีการตัดโซ่ประตูธรรมศาสตร์ เชื่อชุมนุมด้วยความเรียบร้อย
วันนี้ (19 ก.ย.) เวลา 15.00 น. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ “ช่อ” แกนนำคณะก้าวหน้า กล่าวว่า มาร่วมชุมนุมวันนี้ในฐานะประชาชน มาเติมเต็มพลังมวลชน และยืนยันว่า วันนี้มามอบกำลังใจให้กับผู้ร่วมชุมนุมเนื่องจากตอนนี้เป็นการต่อสู้ของประชาชน โดยตนได้มาติดตามบรรยากาศการเตรียมความพร้อมการชุมนุมตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา และเชื่อว่า สุดท้ายแล้ว มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะยอมเปิดพื้นที่ให้ชุมนุม โดยอ้างอิงถึงเมื่อเหตุการณ์ตุลาคมในอดีตก็มีการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนชุมนุมเช่นเดียวกัน ทำให้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ไม่มีภาพการตัดโซ่หรือพังประตู ซึ่งเป็นนิมิตหมายอันดี และคาดหวังว่า ประชาชนจะเป็นพลังที่ไม่มีใครขวางกั้นได้ และรัฐบาลจะฟังประชาชนอย่างคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือไม่
ทั้งนี้ ไม่คิดว่าจะมีความรุนแรงใดและบรรยากาศก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยเฉพาะมีร้านค้าขายอาหาร ของแจก เยอะมากซึ่งบรรยากาศมีแต่ความคึกคัก และรู้สึกดีเป็นพิเศษ เนื่องจากว่ามีคนร่วมชุมนุมทุกกลุ่มทุกวัย ซึ่งเมื่อตอนการชุมนุม 18 สิงหาคม ส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เป็นวัยรุ่น แต่ครั้งนี้มีครอบครัวพาลูกมา มีอดีตข้าราชการเกษียณ เช่น ผู้พิพากษา อัยการ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ก็มีเด็กมัธยมและนักศึกษามาร่วม พร้อมย้ำว่า เป็นความสวยงามในการชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย
พร้อมกันนี้ น.ส.พรรณิการ์ ยังเห็นว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐพยายามสกัดกั้นการชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นทางเรือที่มีผู้ชุมนุมมาจากท่าน้ำนนท์หรือประชาชนที่เดินทางมาจากภาคเหนือ แต่สุดท้ายก็เดินทางมาได้ พร้อมย้ำว่า รัฐบาลจะต้องยอมรับว่านาทีนี้ประชาชนจะไม่ยอมอีกต่อไป ประชาชนลุกขึ้นต่อสู้แล้วโดยไม่มีอะไรขวางกั้น หากรัฐบาลพยายามขวาง มีแต่จะยิ่งพัง จะสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ พร้อมขอให้รับฟังเสียงประชาชน เชื่อว่า การชุมนุมครั้งนี้จะส่งสัญญาณให้รัฐบาลและรัฐสภาในการพิจารณาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 23 -24 กันยายนนี้ พร้อมย้ำว่า ให้พิจารณาร่างของฝ่ายค้านที่มีการกำหนดร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนทั่วประเทศ
ส่วนโมเดลของรัฐบาลที่กำหนดมาจากการเลือกตั้ง 150 คน และเป็นการเลือกกันเองอีก 50 คน จากนักวิชาการ นักศึกษาตัวแทนรัฐสภา โดยมองว่าเป็นโมเดลหวยล็อก ซึ่งไม่ต่างจากการทำรัฐธรรมนูญปี 2560 และไม่อยากเห็นการแก้ปัญหาแบบพายเรือในอ่างกลับไปสู่วังวนเดิม และถ้ารัฐบาลจริงใจในการแก้ปัญหา ก็ควรรับร่างแก้รัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านที่มีการเลือกตั้งส.ส.ร. 200 คน ให้มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนทั้งประเทศ แต่ถ้าหากไม่ยอมให้เลือกตั้งทั้งหมดก็จะเกิดคำถามว่ากลัวอะไร
พร้อมตั้งข้อสังเกตถึง ส.ส.ร. 50 คน ตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล โดยมีการคัดเลือกจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จึงมองว่า หากเป็นเช่นนี้ กกต.จะทำอะไรก็ได้ และยังมีสัดส่วนของรัฐสภา ซึ่งคาดว่า ในจำนวนนี้จะมีสัดส่วนของรัฐบาลราว 40 คน ที่ถูกเลือกมา และท้ายที่สุด ส.ส.ร.ที่มีแต่คนของรัฐบาลจะต่างอะไรกับการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2560
ต่อมา เวลา 15.30 น. แกนนำคณะประชาชนปลดแอกได้ขึ้นรถ 6 ล้อ จำนวน 2 คัน พร้อมกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปยังท้องสนามหลวง โดยมวลชนมีการชู 3 นิ้ว และตะโกนขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตลอดเส้นทาง กระทั่งเมื่อเข้ามาภายในท้องสนามหลวง ต่างมีผู้ชุมนุมตะโกนโห่ร้องอย่างไม่ขาดสาย อีกทั้งได้มีการตั้งเวทีเพื่อการปราศรัยของแกนนำในช่วงเย็นนี้ อย่างไรก็ตาม มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวก พร้อมนำแผงเหล็กมาวางกั้นเพื่อป้องกันเหตุวุ่นวาย