ดีเอสไอส่งหนังสือแย้งความเห็นอัยการชั้นต้นถึงอัยการสูงสุด ระบุพยานหลายคนให้การตรงกันว่า “บิลลี่” ขนน้ำผึ้งจำนวน 38 กิโลกรัม เพื่อนำไปส่งข้างล่าง โดยมีผู้สั่งซื้อรอรับอยู่
หนังสือดีเอสไอระบุว่า นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้ต้องหาที่ 1 พยายามสร้างเรื่องกล่าวอ้างว่านายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ถูกจับตัวด้วยความผิดจากการแอบลักลอบขนน้ำผึ้งจำนวน 8 ขวด ออกจากเขตอุทยานแห่งชาติ ทั้งที่ตามข้อเท็จจริงปรากฏตามคำให้การของพยานถึง 6 คน ที่ให้การตรงกันว่านายพอละจีมีน้ำผึ้งจำนวน 38 กิโลกรัม โดยแบ่งใส่ถุงพลาสติก 1 ถุง จำนวน 30 กิโลกรัม และแบ่งใส่ขวด 8 ขวด เพื่อลงไปขายข้างล่างซึ่งมีผู้สั่งซื้อรอรับอยู่
จุดประสงค์ที่ผู้ต้องหาทั้งสี่พยายามชักจูงให้เห็นว่านายพอละจีถูกจับกุมด้วยการพยายามนำน้ำผึ้งเพียง 8 ขวด ออกจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ก็เพื่อที่จะทำให้เห็นว่าการกระทำความผิดของนายพอละจีเป็นการกระทำความผิดเพียงเล็กน้อย ได้ว่ากล่าวตักเตือนก็ได้ปล่อยตัวและคืนของกลางให้นายพอละจี
ข้อเท็จจริงพบว่า การที่นายชัยวัฒน์รีบปลีกเวลาจากการต้อนรับปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มาตรวจเยี่ยมการปฏิบัติราชการของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในวันดังกล่าว เป็นเรื่องที่นายชัยวัฒน์ไม่เคยกระทำมาก่อน เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานให้การตรงกันว่า ตามปกตินายชัยวัฒน์จะไม่มารับผู้กระทำความผิดที่ด่านด้วยตนเอง และตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำด่านเขามะเร็วก็ไม่เคยมีการจับกุมผู้ครอบครองน้ำผึ้งแต่อย่างใด การที่นายชัยวัฒน์รีบขับรถเพื่อมาจับกุมนายพอละจี และพาตัวนายพอละจีขึ้นรถไป จึงเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย
มูลเหตุจูงใจที่นายชัยวัฒน์และพวกร่วมกันฆ่านายพอละจี เนื่องจากนายชัยวัฒน์และพวกได้บุกเข้าเผาทำลายทรัพย์สินและบ้านที่อยู่อาศัยของชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บ้านบางกลอยบน นายชัยวัฒน์ย่อมเล็งเห็นแต่ต้นแล้วว่า นายพอละจีเป็นพยานปากสำคัญที่จะดำเนินคดีตนเองกับพวก ถึงขนาดต้องออกจากราชการและต้องรับโทษทางอาญา
เช่นนี้จึงรับฟังเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เว้นแต่จะรับฟังว่านายชัยวัฒน์ และผู้ต้องหารวม 4 คน ได้ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำร้ายและสังหารนายพอละจี และนำศพของนายพอละจี รวมถึงสิ่งของที่ยึดมาได้จากนายพอละจีไปเผาและทำลายทิ้งเพื่อปกปิดความผิดของพวกตนเอง