นักธุรกิจหนุ่มร้องสำนักนายกฯ แจ้งความออฟฟิศถูกบุกรุกนาน 6 เดือนคดีไม่คืบ สอบถามร้อยเวร สน.ทองหล่อ ไม่ได้ความชัดเจน ขอให้ ตร.เร่งทำคดี หรือเปลี่ยนตัว พงส.ด้วย
วันนี้ (2 ก.ค.) ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายนิธิศ เกษมโกเมศ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 100/164 ซอยสุขุมวิท 53 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. อาชีพนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พร้อมด้วยนายฐปนวัชร์ สระสม ทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.นภัสกร วงศา เจ้าหน้าที่จเรตำรวจ ประจำศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมกรณีเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ให้ดำเนินคดีต่อคู่กรณีหลายคนข้อหาร่วมกันบุกรุกฯ และทำให้เสียทรัพย์ภายในที่อยู่อาศัยหลายครั้งตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา จนเวลาผ่านล่วงเลยมาถึงปัจจุบันนานกว่า 6 เดือน แต่คดีไม่มีความคืบหน้า
นายนิธิศกล่าวว่า ระหว่างวันที่ 15-17 ม.ค.ที่ผ่านมา เกิดเหตุคนร้ายชายฉกรรจ์หัวเกรียนนับสิบคนบุกเข้ามาที่สำนักงานบริษัทและห้องพัก บริเวณชั้น 1 อาคารวอเตอร์ฟอร์ด ปาร์ค ซอยสุขุมวิท 53 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม.ซึ่งตนครอบครองกรรมสิทธิ์อย่างถูกต้องตามสัญญาเช่าที่ทำกับนิติบุคคลเอาไว้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2556 นอกจากนี้ยังมีการจดทะเบียนการเช่ากับกรมที่ดินเอาไว้ด้วยเป็นระยะเวลา 10 ปี โดยกลุ่มคนร้ายมีการนำกุญแจมาคล้องและล็อกสายยูไว้ หลังเกิดเหตุตนได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.อ.ปราชญา พุฒพันธ์ พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เจ้าของคดี ให้ดำเนินการต่อกลุ่มคู่กรณีตามกรอบกฎหมาย เพื่อเรียกแต่ละฝ่ายมาสอบสวนยุติปัญหาที่เกิดขึ้น โดยมีการนำภาพวงจรปิด เอกสารการครอบครองที่อยู่อาศัย และพยานบุคคลไปให้เจ้าของคดี แต่กลับไม่มีการเรียกคู่กรณีมาสอบสวนหรือดำเนินการตามระเบียบของกฎหมายแต่อย่างใด
นายนิธิศกล่าวอีกว่า ก่อนเกิดเหตุทางนิติบุคคลไม่ได้มีการแจ้งความประสงค์ว่าจะมีการยึดพื้นที่คืนแต่อย่างใด เนื่องจากสัญญาที่ตนทำไว้ยังเหลืออีก 2-3 ปี การทำอย่างนี้เหมือนบีบให้ตนออกจากพื้นที่โดยไม่มีเหตุผล และเมื่อเกิดเรื่องขึ้นทางพนักงานสอบสวนก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ จนความเสียหายได้เกิดขึ้นซ้ำอีก คือเมื่อวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา มีคนร้ายกลุ่มใหญ่แต่งกายลักษณะเดิมบุกรุกมาตัดมิเตอร์น้ำในสำนักงานและห้องพักในความครอบครองของตนออกไปจนทำให้เกิดความเสียหายเพราะมีผู้เช่าห้องพักต่อจากตนพักอาศัยอยู่ โดยวันเวลาที่เกิดเหตุ ตนก็มีหลักฐานเป็นคลิปวงจรปิด และคลิปถ่ายจากโทรศัพท์มือถือ บันทึกภาพกลุ่มชายฉกรรจ์แต่งกายชุดดำเข้ามาร่วมกันลงมือ แม้จะมีการโทรศัพท์เรียกสายตรวจ สน.ทองหล่อ เข้ามาระงับเหตุแล้ว แต่มีผู้สังเกตเห็นคนร้ายในกลุ่มเข้าไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างสนิทสนม กระทั่งคนร้ายร่วมกันตัดมิเตอร์น้ำไปได้
“เหตุการณ์ล่าสุดนี้เกิดขึ้นในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่ด้วย ผมก็พยายามติดต่อพนักงานสอบสวนเพื่อขอทราบความคืบหน้าทางคดี ทั้งร่วมกันบุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ แต่ก็ยังไม่ได้รับทราบถึงรายละเอียดความคืบหน้าใดๆ ที่ผ่านมามีการส่งหนังสือร้องเรียนไปถึง พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น.และ พ.ต.อ.สัมพันธ์ เหลืองสัจจกุล ผกก.สน.ทองหล่อแล้ว แต่ก็ไม่มีการตอบกลับ จึงตัดสินใจปรึกษาทนายความนำเอกสารเข้ามาร้องทุกข์ที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อขอความเป็นธรรมให้มีการเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวน และให้ตำรวจท้องที่เร่งดำเนินการตามกฎหมาย โดยวันนี้เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกเลขรับหนังสือที่ ตช.01630000052 เอาไว้เพื่อรายงานผู้บังคับบัญชาทราบก่อนพิจารณาให้ความยุติธรรมกับผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” นายนิธิศกล่าว
ขณะที่นายฐปนวัชร์ สระสม ทนายความ กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทางคู่กรณีใช้กำลังบุคคลกลุ่มใหญ่ลักษณะคล้ายคนมีสีเข้ามาดำเนินการข่มขู่ กระทำความผิดกฎหมายอาญาฐานบุกรุก และมีการตัดมิเตอร์น้ำทำให้เสียทรัพย์ซึ่งทางผู้เสียหายก็ได้เข้าแจ้งความเอาไว้แต่ต้นแล้ว แต่ตนตั้งข้อสังเกตว่าพนักงานสอบสวนใช้ระยะเวลาการทำงานนานเกินไป ไม่มีการเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องกับทางคู่กรณีไปสอบปากคำทั้งๆ ที่ผู้เสียหายรวบรวมพยานหลักฐานไปให้แล้วและติดตามทวงถามด้วยตนเองมาโดยตลอด แม้จะเคยไปร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดในส่วนของโรงพัก และกองบัญชาการตำรวจนครบาลแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า จึงเกรงว่าทางคู่กรณีน่าจะมีคนมีสีและมีผู้อิทธิพลหนุนหลัง ดังนั้นจึงต้องตัดสินใจมาพึ่งพาศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในส่วนของคดีที่เกิดขึ้น โดยอยากให้มีการเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนมาเร่งรัดดำเนินการคดีนี้ด้วย