MGR Online - นายอัจฉริยะ วิโรจน์สุโนบล หรือเจ้าแม็กซ์ พร้อมทนาย นำหลักฐานขอความเป็นธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจสอบเอาผิดตำรวจและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าข่ายผู้มีอิทธิพล
วันนี้ (9 มิ.ย.) เวลา 10.00 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายอัจฉริยะ วิโรจน์สุโนบล หรือ เจ้าแม็กซ์ อัจฉริยะ อำนาจมวยไทยยิม อดีตแชมป์สภามวยแห่งเอเชีย (WBC เอเชีย) รุ่นซูเปอร์ไลต์เวต พร้อมด้วยครอบครัว และนายวรกร พงศ์ธนากุล ทนายความ เดินทางเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ พ.ต.อ.อัครพล บุณโยปัษฎัมภ์ รองอธิบดีดีเอสไอ และโฆษกดีเอสไอ ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงตำรวจ สภ.เมืองระนอง และผู้เกี่ยวข้องที่ทำให้ถูกคุมขังในเรือนจำฟรีเป็นระยะเวลาถึง 14 เดือน ระหว่างรอพิจารณาคดี สุดท้ายศาลชั้นต้นยกฟ้องจนพ้นผิด และมีหลักฐานทั้งหมดในช่วงที่เกิดเหตุ
นายวรกรเผยว่า นายอัจฉริยะถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับกุมที่สนามบินดอนเมือง ขณะกำลังจะบินไปชกอุ่นเครื่องที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 62 ซึ่งตำรวจมีเพียงหลักฐาน คือ นายอัจฉริยะมีชื่อเป็นเจ้าของรถที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด โดยเชื่อว่ามาจากการที่ขายรถยนต์คันก่อเหตุให้กับนักมวยรุ่นพี่ เจ้าของค่ายมวยเอกทวีมวยไทยยิม จ.นครปฐม เมื่อปี 58 ในลักษณะเป็นการโอนลอย ต่อมารุ่นพี่นักมวยก็ได้ขายต่อให้เต็นท์รถมือสอง จ.นครปฐม ช่วง ส.ค. 61 หลังจากนั้น 1 เดือน เต็นท์ก็ขายรถต่อให้กับขบวนการยาเสพติด เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 61 จนกระทั่งถูกตำรวจ สภ.เมืองระนอง จับกุมผู้ต้องหา เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 61 พร้อมของกลางยาบ้ากว่า 5 ล้านเม็ด โดยชื่อเจ้าของรถในขณะนั้นยังเป็นชื่อของนายอัจฉริยะ ประกอบกับหญิงสาวที่ซื้อรถไปให้การกับตำรวจอ้างว่านายอัจฉริยะเป็นสามี
“วันนี้ได้นำหลักฐานเป็นเอกสารการซื้อขายรถทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น พร้อมภาพถ่ายประกอบการซื้อขาย ตลอดจนภาพและคลิปวิดีโอบนเฟซบุ๊ก และเอกสารการจองโรงแรมที่ยืนยันว่านายอัจฉริยะไม่ได้อยู่ในพื้นที่จังหวัดระนองในช่วงเวลาที่กลุ่มขบวนการยาเสพติดก่อเหตุ แต่กำลังเข้าค่ายฝึกซ้อมมวยอยู่ที่ค่ายมวยของตนเองที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งระยะทางก็ไกลกันมาก ไม่มีทางที่นายอัจฉริยะจะร่วมขบวนการ นอกจากนี้ ครอบครัวระบุว่าต้องการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะก่อนหน้านี้นายอัจฉริยะไม่เคยถูกออกหมายเรียกเพื่อไปให้ปากคำใดๆ แต่กลับถูกจับกุมขณะกำลังเดินทางไปชกมวยทำประโยชน์เพื่อประเทศ จึงมาร้องขอความธรรมและให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ เพื่อเอาผิดตำรวจและผู้เกี่ยวข้อง” นายวรกรกล่าว
นายวรกรเผยอีกว่า ก่อนหน้านี้ไปร้องขอความเป็นธรรมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ แต่ไม่ได้แจ้งความดำเนินคดี อีกทั้งคู่กรณีเป็นตำรวจที่มียศสูงสุดระดับ พ.ต.อ.ก็เข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพล โดยระหว่างที่ถูกควบคุมตัวก็ถูกตำรวจนายดังกล่าวข่มขู่ให้รับสารภาพ เพียงเพื่อต้องการให้สำนวนแน่นหนา แต่นายอัจฉริยะไม่ยอมเพราะไม่ได้กระทำความผิด
ด้านนายอัจฉริยะกล่าวว่า ในชั้นสอบสวนได้ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด โดยการนำหลักฐานการโอนลอยซื้อขายรถยนต์ และหลักฐานการเก็บตัวก่อนแข่งขัน แต่ตำรวจยื่นฟ้องต่อศาลถึงพฤติกรรมเสมือนว่าตนเป็นสามีของหญิงสาวที่ถูกจับกุม มีพฤติกรรมในการวางแผน นอนเฝ้ายาเสพติดที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.ระนอง ก่อนการขนย้ายยาเสพติด ทั้งๆ ที่ตนไม่เกี่ยวข้องจนถูกจำคุกระหว่างรอพิจารณาคดีศาลชั้นต้นนาน 14 เดือน สุดท้ายศาลยกฟ้องจนพ้นผิด จึงปรึกษาครอบครัวออกมาร้องขอความเป็นธรรม
ส่วนทาง พ.ต.อ.อัครพลเผยว่า เบื้องต้นรับเรื่องร้องเรียนไว้ก่อน เพราะกระทรวงยุติธรรมมีนโยบายต้องช่วยเหลือและให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อน หลังจากนี้จะตั้งเลขคดีสืบสวนหาข้อเท็จจริงก่อนนำเข้าบอร์ดดีเอสไอ ว่าจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป